
การเดินทางกลับบ้านช่วงเทศกาล ผู้โดยสารหวังไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย มีความสุขกับครอบครัว แต่เรื่องราวของผู้บริโภครายหนึ่งเผยให้เห็นด้านมืดของรถตู้ช่วงเทศกาล ที่ยังเป็นความเสี่ยง และสร้างความทุกข์ จากการละเลยสิทธิและความปลอดภัยของผู้โดยสาร
ในช่วงเทศกาลหยุดยาวของทุกปี ภาพผู้คนหอบหิ้วกระเป๋าเร่งเดินทางกลับบ้าน คือความหวังเล็ก ๆ ของคนทำงานที่อยากกลับไปกอดครอบครัว หลังเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี แต่สำหรับผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย ความสุขปลายทางกลับต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงบนท้องถนน สร้างความทุกข์ให้กับคนเดินทางช่วงเทศกาล
ลิตเติ้ล คือหนึ่งในนั้น เธอเป็นคนทำงานในกรุงเทพฯ ที่ต้องใช้บริการรถตู้โดยสารเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแทบทุกเทศกาล รถตู้จึงกลายเป็นทางเลือกจำเป็น เพราะราคายังพอรับได้และเดินทางสะดวก
“เทศกาล คือช่วงที่ใคร ๆ ก็อยากกลับบ้านไปพักผ่อน ไปเจอคนที่รัก แต่กว่าจะถึงบ้านแต่ละทีต้องลุ้นตลอดทาง” ลิตเติ้ลเล่าความรู้สึก
ปัญหาที่เธอเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือการบรรทุกผู้โดยสารเกินมาตรฐาน รถตู้ที่ควรรับได้ไม่เกิน 13 คน กลับมีผู้โดยสารมากกว่านั้น บางคนต้องยืน บางคนได้นั่งเสริมตรงหน้ารถ ทุกคนบนรถต่างรู้ดีว่านี่คือความไม่ปลอดภัย และเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพราะจ่ายค่าโดยสารเท่ากัน แต่กลับได้รับบริการไม่เท่ากัน
“เรารู้ว่าไม่ปลอดภัย แต่ก็ต้องนั่งเงียบ ๆ เพราะต่างคนต่างอยากกลับบ้าน”
สิ่งที่ลิตเติ้ลกังวลไม่แพ้กัน คือรถตู้เสริมที่ไม่อยู่ในระบบ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “รถตู้เถื่อน” รถเหล่านี้มักไม่ได้จดทะเบียนเป็นรถโดยสารสาธารณะ ไม่มีการตรวจสภาพตามเกณฑ์ ไม่มีประกันภัยคุ้มครองผู้โดยสารหากเกิดอุบัติเหตุ และไม่มีระบบจีพีเอส ติดตามพฤติกรรมการขับขี่เหมือนรถโดยสารในระบบ ทำให้ผู้โดยสารไม่อาจรู้ได้เลยว่ากำลังฝากชีวิตไว้กับรถและคนขับที่ปลอดภัยเพียงใด
นอกจากนี้ ที่นั่งเสริมยังสร้างความเสี่ยงซ้ำซ้อน เพราะมักกีดขวางทางออกฉุกเฉิน หากเกิดอุบัติเหตุหรือไฟไหม้ ผู้โดยสารอาจติดอยู่ในรถและหนีออกมาได้ยาก ท่ามกลางแรงกดดันจากคนจัดรถที่มักพูดประโยคเดิม ๆ ว่า “ถ้าไม่นั่งที่เสริม ก็ไม่มีรถแล้วนะ หรือ ช่วย ๆ กันหน่อย ทุกคนก็อยากกลับบ้านเหมือนกัน”
นอกจากความแออัดและความไม่ปลอดภัยแล้ว ยังมีปัญหาอื่นที่ผู้โดยสารต้องเผชิญ ทั้งการขายตั๋วเกินราคา ออกรถไม่ตรงเวลา ทิ้งผู้โดยสารกลางทาง หรือไม่ไปส่งถึงจุดหมายปลายทางตามที่ตกลงกันไว้ เพื่อรีบวนรถกลับไปรับผู้โดยสารรอบใหม่ บางคันยังขาดอุปกรณ์นิรภัยพื้นฐาน เช่น ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก หรือมีอุปกรณ์แต่หยิบใช้ไม่ได้เพราะถูกสัมภาระวางทับจนมิด
ลิตเติ้ลเจอกับประสบการณ์ที่ไม่อาจลืม คือการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังจบเทศกาล “วันนั้นขึ้นรถตู้เถื่อน พอมาถึงกรุงเทพ เขาไม่เข้าไปส่งที่หมอชิต เพราะกลัวโดนตรวจ สุดท้ายก็ปล่อยเราลงข้างทาง แล้วให้เรากับผู้โดยสารอีกสองคนนั่งแท็กซี่ด้วยกันเข้าไปเอง ยังดีที่เขาออกค่าแท็กซี่ให้”
แม้เหตุการณ์นี้จะดูเหมือนเรื่องตลกร้าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการละเมิดสิทธิผู้บริโภคอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ความปลอดภัยและการไม่ได้รับบริการตามที่ตกลงกันไว้
เรื่องเล่าของลิตเติ้ลสะท้อนให้เห็นว่า การเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลไม่ควรเป็นเรื่องของ “การเสี่ยงดวง” ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับบริการขนส่งที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นธรรม การกลับบ้านไปหาคนที่รักควรจบลงด้วยความสุข ไม่ใช่ความกังวลตลอดเส้นทาง
อย่างไรก็ตาม นอกจากความไม่สะดวกและความเสี่ยงที่ผู้โดยสารต้องเผชิญแล้ว สิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้ามคือ มาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้บริโภคพึงได้รับ ภายในรถต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยอย่างครบถ้วนและพร้อมใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยครบทุกที่นั่ง
แม้อุบัติเหตุอย่างไฟไหม้รถจะเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าไกลตัว แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วกลับสร้างความสูญเสียร้ายแรง การมีอุปกรณ์นิรภัยที่ครบถ้วนจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ
ที่สำคัญ ผู้บริโภคไม่ควรจำยอมกับปัญหาที่พบเจอระหว่างการเดินทาง หากพบการให้บริการด้านขนส่งสาธารณะที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่ได้มาตรฐาน เช่น ออกรถไม่ตรงเวลา แจ้งรอบการเดินรถไม่ชัดเจน บรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนที่นั่ง คิดค่าบริการแพงเกินจริง หรือพบรถเถื่อนวิ่งรับผู้โดยสาร ขอให้ช่วยกันร้องเรียนและแจ้งเบาะแส เพื่อสะท้อนปัญหาและผลักดันให้เกิดการแก้ไขอย่างจริงจัง
ผู้บริโภคสามารถร้องเรียนได้ที่ กรมการขนส่งทางบก สายด่วนโทร 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งมาที่ สภาผู้บริโภค ผ่านช่องทางออนไลน์ https://www.tcc.or.th/ หรือโทร 1502 ในวันเวลาทำการ วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 17.00 น. เพื่อร่วมกันปกป้องสิทธิ และทำให้การเดินทางกลับบ้านของทุกคนปลอดภัยมากขึ้น ไม่ใช่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงบนท้องถนน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง


