
เหตุการณ์มหาอุทกภัยที่หาดใหญ่ ที่สร้างความเสียหายมหาศาล ตลอดจนสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ที่ทำให้ ถนนพระราม 2 ในขาเข้ากรุงเทพฯ ถูกน้ำท่วมสูง ทำให้จราจรติดขัดอย่างหนักต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่มีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้น ถือเป็นสัญญาณเตือนถึง ภัยจากภาวะ โลกร้อน และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ถึงกรณีน้ำทะเลหนุนสูงจนเกิดน้ำท่วมถนนพระราม 2 จนรถเล็กไม่สามารถผ่านได้ การจราจรชะลอตัว ทำให้รถติดขัดยาวประมาณ 3 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า
“กลาเซียร์ละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น อาจยังไม่เป็นวิกฤตใน 10-20 ปี แต่เมื่อมองไปข้างหน้าอีกหลายสิบปี ธารน้ำแข็ง 2 ใน 3 ของโลกจะละลายหมด น้ำจืดมหาศาลไหลลงทะเล ผลกระทบอาจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ทางออกทำได้ในเวลานี้ คือ ลดก๊าซเรือนกระจก หาทางดูดซับกักเก็บคาร์บอน เพื่อชะลอความร้อนของโลกที่กำลังละลายธารน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
สำหรับการรับมือชายฝั่งทะเลจมน้ำ นั่นเป็นโครงการยักษ์ ตอนนี้เอาแค่จัดซีเกมส์ให้รอดก่อนครับ” ดร.ธรณ์ ทิ้งข้อเสนอไว้ชวนให้สังคมได้ขบคิดต่อ
ไม่ใช่ครั้งแรก กรุงเทพฯ เผชิญน้ำท่วมใหญ่หลายครั้งในอดีต
สำหรับกรุงเทพฯ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุน้ำท่วม เพราะกทม.อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำและรับอิทธิพลของระดับน้ำทะเลและน้ำจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมหลายครั้ง ล่าสุดเดือนตุลาคม 2567 เป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงและฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมถนนพระราม 2 ขาเข้ากรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน
หากย้อนไปไกลกว่านั้น ปรากฎการณ์น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาล้นตลิ่ง ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ในปี 2538 คันกั้นน้ำริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาถูกน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่ระดับสูงถึง 1 เมตร โดยเฉพาะบริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด บางกอกน้อย และถนนเจริญกรุง เขตคลองสาน รวมระยะเวลาน้ำท่วมประมาณ 2 เดือน สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก การคมนาคมเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องอาศัยเรือในการเดินทาง เพราะเกือบจะทั่วทุกพื้นที่ กลายเป็นคลองไปหมด
รวมทั้งมหาอุทกภัยใหญ่ ในปี 2554 ถือเป็นภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทย จากปรากฎการณ์ ลานีญา ที่มีพายุ 5 ลูก เข้าถล่มทำให้มีฝนตกต่อเนื่องยาวนาน น้ำเต็มเขื่อนทะลักเข้าท่วมพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพฯ เป็นเวลานาน โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจ นิคมอุตสาหกรรม สนามบินดอนเมือง สร้างความเสียหายกว่า 1.4 แสนล้านบาท ถือเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ได้จัดทำรายงานสถานการณ์ “น้ำท่วม” ในประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา พบความเสียหายมูลค่ามหาศาล จากเหตุอุทกภัย หรือน้ำท่วมที่เกิดขึ้นครอบคลุมพื้นที่เกือบทั่วประเทศ มีจำนวนมากกว่า 40,000 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อประชาชน จำนวน 4.5 ล้านคนต่อปี มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,000 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่า 12.59 ล้านล้านบาท
กรุงเทพฯ เสี่ยงจมน้ำในอนาคตอันใกล้
ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิตออกมาย้ำเตือนอยู่เสมอ ว่า ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ภาวะ “น้ำทะเลหนุนสูง” ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กรุงเทพฯ อาจเผชิญวิกฤตน้ำท่วมรุนแรงในอนาคต หากไม่มีมาตรการรับมืออย่างจริงจัง
สำหรับปัจจัยที่ทำให้กรุงเทพฯ เสี่ยงต่อสถานการณ์น้ำท่วมมากขึ้น มาจากปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ สภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาเมืองที่ทำให้ระบบรับมือกับน้ำมีความเปราะบางมากขึ้น ดังนี้
1. ตั้งอยู่พื้นที่ลุ่มต่ำและระดับใกล้ทะเล
กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากระดับน้ำทะเลเพียงประมาณ 0.5–2 เมตร เท่านั้น ทำให้เมื่อมีน้ำจากฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุน หรือระดับน้ำในแม่น้ำสูง น้ำสามารถท่วมเข้าพื้นที่ได้ง่ายและเร็วขึ้น
2. การทรุดตัวของแผ่นดิน
พื้นที่กรุงเทพฯ กำลัง ทรุดตัวลงทุกปี ประมาณ 1–2 เซนติเมตร หรือบางพื้นที่มากกว่า ทำให้ระดับพื้นดินต่ำลงเรื่อย ๆ และยิ่งทำให้เมืองเสี่ยงต่อการท่วมจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะ โลกร้อน
3. ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ ระดับน้ำทะเลทั่วโลกและในอ่าวไทยสูงขึ้น สิ่งนี้ทำให้แรงกดดันของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ทำให้น้ำระบายออกสู่ทะเลได้ยากขึ้น ยิ่งในช่วงที่มีมรสุมหรือมีพายุซ้อนเข้ามาด้วย
4. ระบบระบายน้ำและธรรมชาติถูกทำลาย
กรุงเทพฯ เคยมีเครือข่ายคูคลองจำนวนมากที่ทำหน้าที่ระบายน้ำ แต่หลายส่วนถูกถมและลดลงจากการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว ทำให้ “ที่รับน้ำตามธรรมชาติ” ลดลงและ ระบบระบายน้ำไม่สามารถรองรับฝนหนักได้เพียงพอ
5. อุทกภัยจากฝนตกหนักและพายุ
ในช่วงฤดูฝนหรือเมื่อมีพายุเข้ามาในอ่าวไทย กรุงเทพฯ มักมีปริมาณฝนตกหนักในเวลาสั้น ๆ ซึ่งระบบระบายน้ำที่มีอยู่ก็ยังไม่เพียงพอในการระบายออกทัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ของเมือง
แนะเร่งสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม
ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ หลายเมืองทั่วโลกเผชิญภัยน้ำท่วมและลงมือสร้างระบบโครงสร้างและเทคโนโลยีเพื่อป้องกันภัยแล้ว เช่น ระบบประตูป้องกันคลื่นและน้ำทะเล ในยุโรป เช่น ที่เนเธอร์แลนด์ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุนจากมหาสมุทรเหนือ ระบบประตูป้องกันน้ำในกรุงเวนิส ที่ป้องกันน้ำสูงและช่วยลดความเสี่ยงต่อการท่วมซ้ำซากของเมืองที่กำลังจมในทะเล
โครงการเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนและการวางแผนระยะยาวด้านโครงสร้างพื้นฐานสามารถลดผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำและภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเปรียบเทียบกับการจัดการเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันมามองเรื่องนี้อย่างจริงจัง
จากงานวิจัยของกรีนพีซเตือนว่าในอีก 4 – 5 ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ อาจจมทะเล จากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งหากกรุงเทพฯ จมน้ำ ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะรุนแรงมากกว่าหาดใหญ่หลายเท่าตัว โดยประเมินว่าจะมีความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอยู่ที่ 18.6 ล้านล้านบาท กระทบประชาชนกว่า 10.45 ล้านคน และหากยังไม่มีมาตรการป้องกัน กรุงเทพฯ อาจเผชิญน้ำท่วมใหญ่ ในปี 2573
ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้มีข้อเสนอเชิงนโยบาย 6 ข้อ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ 1. สร้างเขื่อนกั้นน้ำ หรือถนนเลียบชายฝั่งยกสูง 2. ปลูกป่าชายเลน ตลอดแนวพื้นที่บางขุนเทียน สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ เพื่อให้เป็นพื้นที่กันชน ซับน้ำ 3. จัดระเบียบการใช้ที่ดินชายฝั่ง 4. กระจายการลงทุนไปภูมิภาค 5. หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และ 6. ศึกษาการย้ายเมืองหลวง
“นโยบายการย้ายเมืองหลวงแบบกรุงจาร์กาตา อินโดนีเซีย ควรถูกนำมาศึกษาอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งจะต้องเริ่มลงทุนเพื่อป้องกันกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการเผชิญน้ำท่วมใหญ่จากระดับน้ำทะเลหนุนสูง และน้ำหลากจากทางเหนือ” ดร. อนุสรณ์ กล่าว
ขณะที่ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เสนอว่า ต้องสร้างระบบบริหารจัดการอุทกภัยใหม่ ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย โดยสร้างระบบบริหารจัดการวงจรอุทกภัย (disaster cycle management) แบบถาวร และเป็นโครงสร้างที่มีประสิทธิผล และปฏิบัติได้ จะต้องประกอบด้วยวงจร 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. การเตรียมพร้อมควบคู่กับการพยากรณ์และเตือนภัย เป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อม สร้างศักยภาพในการเตรียมรับมือให้ทันท่วงที ตั้งแต่การเตรียมแผนอพยพ การฝึกซ้อม การจัดหา ศูนย์พักพิง การพยากรณ์และเตือนภัยล่วงหน้า
2. การรับมือกับภาวะน้ำท่วมและการช่วยเหลือ เป้าหมายคือลดความสูญเสีย ชีวิตและทรัพย์สิน และให้ความช่วยเหลือต่างๆที่จำเป็น เช่น การสื่อสาร การช่วยเหลือและอพยพผู้ที่ติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมโดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ฯลฯ
3. การเยียวยาและฟื้นฟูหลังน้ำท่วม เป้าหมายคือการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้กลับสู่ปรกติโดยเร็วที่สุด เช่น การประเมินมูลค่าความเสียหายและความสูญเสีย การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และโครงสร้างสาธารณูปโภค การจัดการขยะ และการป้องกันโรคติดต่อ
4. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนเพื่อลดความเสียหายในอนาคต เป้าหมายคือ การป้องกันและลดความเสียหายในอนาคต (mitigation) โดยนำข้อมูลและประสบการณ์ที่ผ่านมากลับมา ปรับปรุงแผนการป้องกันน้ำท่วม การปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาและวางผังเมือง โดยเฉพาะกฎหมายควบคุมการใช้ที่ดิน
วิกฤตน้ำท่วม อาจไม่ใช่วิกฤติตามฤดูกาลอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นภัยพิบัติต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชากรจำนวนมาก สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดทำแผนป้องกันวิกฤติน้ำท่วมระดับชาติ ที่เป็นแผนระยะยาวที่มีรูปธรรมการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ให้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมให้น้อยที่สุด
ข้อมูลอ้างอิง
รายงานภาวะสังคม ไตรมาส 3/ 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)



