
การฟ้องปิดปาก กลายเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ทางสังคม ที่กำลังคุกคามผู้ที่ทำหน้าที่ส่งเสียงเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะในหลายเหตุการณ์จากกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ ก่อให้เกิดสถานะการณ์ “เกียร์ว่าง” ต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่กำกับกติกา และกลุ่มประชาชนที่ไม่มีหนทางสู้กลับทางกฎหมาย ถึงเวลาที่ประเทศต้องมี กฎหมายต้านการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law)
การแสดงออกและการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเด็นสาธารณะถือเป็นหัวใจสำคัญของสังคมประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกัน กลับมี “กลุ่มทุน” และ “กลุ่มผลประโยชน์” ที่ได้รับผลกระทบจากการ “ส่งเสียงของประชาชน” กลับใช้เครื่องมือทางกฎหมายนำมาใช้เพื่อ “ปิดปาก” ผู้เห็นต่างและผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุนกับผู้เห็นต่างที่ได้เห็นมาแล้วทั่วโลก ซึ่งรู้จักกันในชื่อ คดีปิดปาก สแลป์ป ลอว์ SLAPP Law (Strategic Lawsuit Against Public Participation)
SLAPP Law สะท้อนภาพคุกคามจากทุน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคดี SLAPP นั้น รุนแรงกว่าการดำเนินคดีปกติ เพราะสามารถสร้างภาวะที่เรียกว่า “ภาวะหวาดกลัว” (Chill effect) ที่ทำให้ประชาชนและองค์กรไม่กล้าที่จะมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ และแม้ผู้ถูกฟ้องจะชนะคดีในท้ายที่สุด แต่ก็ทำให้ต้องเสียเวลา เงิน และสุขภาพจิตไปอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นความเสียหายที่ไม่อาจประเมินค่าได้ จากการกระทำเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น
เพราะการใช้กระบวนการทางกฎหมายไม่เพียงเป็นการคุกคาม แต่ยังสร้างภาระ สร้างความเหน็ดเหนื่อย และข่มขู่ผู้ที่ออกมาทำหน้าที่ตรวจสอบสังคมให้ยุติการกระทำนั้น ๆ เกิดขึ้นในหลายกรณีในประเทศไทย
หากจะทำความเข้าใจว่าคดี SLAPP คืออะไร ไม่มีตัวอย่างไหนชัดเจนไปกว่ากรณีของ มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) และวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ที่ถูกบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ฟ้องร้องจากการเผยแพร่ข้อมูลการระบาดของปลาหมอคางดำ
แม้การกระทำของไบโอไทยจะมีเจตนาเป็นไปเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและชุมชน แต่การฟ้องร้องที่ตามมาก็ถูกมองว่าเป็นการใช้กฎหมายเพื่อขัดขวางการทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ จึงทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากภาคประชาชนและสังคมในวงกว้างที่มีความเห็นว่า กรณีดังกล่าวเข้าข่ายเป็น SLAPP Law หรือ ฟ้องปิดปาก โดยฝ่ายสนับสนุนดูแลประโยชน์สาธารณะ ขณะที่ฝ่ายซีพียืนยันว่าเป็นการดำเนินคดีปกติ แต่ยังไม่มีคำพิพากษาที่ชัดเจนในชั้นศาล ซึ่งแสดงให้เห็นความขัดแย้งระหว่างการใช้กฎหมายในบริบทของสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองชื่อเสียงของกลุ่มทุน
อีกกรณีที่น่าสนใจคือการฟ้องร้อง ศ.ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ในการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค โดยบริษัททรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัดโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกสองปี แม้คดีกำลังดำเนินการในขั้นศาลอุทธรณ์ แต่คำตัดสินดังกล่าวก่อให้เกิดการใช้เกียร์ว่างต่อการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และกรรมการในองค์กรอิสระ เมื่อมีการพิจารณากรณีที่มีผลประโยชน์เอกชนเกี่ยวข้อง
ส่วนกรณี สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ผู้เขียนบทความและแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม และธรรมาภิบาล ถูกบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน แม้ว่าคดีนี้จะจบลงด้วยการถอนฟ้องจากการประนีประนอม แต่คดีลักษณะนี้ก็สร้างผลกระทบที่น่ากังวลต่อบุคคลและประชาชนที่ต้องการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งที่สิทธิในการแสดงออกทางความคิดเห็นเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและกฎหมายภายในประเทศ ในการมีอิสระในการคิด พูด เขียน เผยแพร่ข้อมูล และแสดงความคิดเห็นในรูปแบบต่างๆ โดยไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐหรือบุคคลอื่น ภายใต้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิผู้อื่น ความปลอดภัยสาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อย
ไม่ใช่แค่เอ็นจีโอ แต่ “ผู้บริโภค” ก็เป็นเหยื่อ SLAPP
การฟ้องร้องเพื่อข่มขู่และปิดปากผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นสาธารณะ หรือ คดี SLAPP กำลังเป็นภัยคุกคามที่ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่กลุ่มนักเคลื่อนไหว นักสิ่งแวดล้อม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ หรือสื่อมวลชนเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว ภัยนี้ได้คืบคลานเข้ามาใกล้ตัว “ผู้บริโภค” อย่างที่เราคาดไม่ถึง เพราะเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นหรือการรีวิวสินค้าอย่างตรงไปตรงมา ก็อาจกลายเป็นสาเหตุให้ถูกฟ้องร้องจากองค์กรขนาดใหญ่ได้เช่นกัน
คดี SLAPP จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างภาระและข่มขู่ เพื่อให้คู่กรณีที่เป็นประชาชนทั่วไปต้องยอมแพ้ไปเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสิทธิของผู้บริโภคในการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและเสรีนั้นกำลังถูกจำกัดอย่างร้ายแรง
สถานการณ์ในประเทศไทยและต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการ ฟ้องปิดปาก ผู้บริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือกรณีผู้บริโภคถูกฟ้องจากรีวิว “กระทะ Korea King” จากกรณีที่กระทะ Korea King ถูกตั้งคำถามเรื่องการโฆษณาเกินจริง แกนนำผู้บริโภครายหนึ่งจากจังหวัดสตูลที่เป็นหนึ่งในผู้เสียหายจากการซื้อกระทะ ได้ถูกบริษัทผู้จัดจำหน่ายฟ้องร้องในคดีอาญาข้อหาเบิกความเท็จ ศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยด้วยเหตุผลว่าเป็นการเบิกความตามข้อเท็จจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้สิทธิในฐานะผู้บริโภคของประชาชนอาจนำไปสู่การฟ้องร้องที่สร้างความยุ่งยากทางกฎหมายได้
อีกกรณีที่บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาสด้าฟ้องร้องผู้บริโภคสองรายด้วยข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายสูงถึง 20 ล้านบาท และอีกคดีที่บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ฟ้องผู้ใช้รถยนต์รายหนึ่งที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาเครื่องยนต์ดีเซล โดยเรียกร้องค่าเสียหายสูงถึง 84 ล้านบาท บริษัทให้เหตุผลในการฟ้องร้องว่าผู้บริโภคใช้สิทธิเกินกว่าเหตุจนทำให้ภาพลักษณ์และยอดขายของบริษัทเสียหาย
หรือในต่างประเทศ คดีรีวิวร้านอาหารในสหรัฐอเมริกา กรณีที่เจ้าของร้านอาหารฟ้องร้องลูกค้าที่เขียนรีวิวในเชิงลบว่าอาหารมีคุณภาพไม่ดีและบริการไม่น่าประทับใจ การฟ้องร้องนี้มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านดอลลาร์ ทำให้ลูกค้าต้องใช้เงินและเวลาจำนวนมากในการต่อสู้คดี แม้ท้ายที่สุดศาลจะยกฟ้อง แต่คดีก็สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับลูกค้าและส่งผลให้ลูกค้ารายอื่น ๆ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
มาตรการป้องกัน SLAPP ในประเทศไทยปัจจุบันมีอย่างไร
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายโดยตรงที่เรียกว่า “กฎหมายป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก” หรือ Anti-SLAPP Law แต่ยังมีกลไกบางอย่างที่อาจนำมาใช้ป้องกัน SLAPP รวมถึงมีหลายหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีบทบาทหลักในการป้องกันและช่วยเหลือผู้ถูกฟ้องคดี SLAPP โดยเป็นการคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลการทุจริตและถูกฟ้องกลับ ให้ถือเป็นผู้แจ้งเบาะแสหรือผู้ร้องเรียน ที่จะได้รับความคุ้มครอง แต่ ป.ป.ช. จะดำเนินการเฉพาะในคดีทุจริต โดยไม่ได้รวมถึงกรณีผู้บริโภคถูกฟ้องปิดปาก
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง