Ribbon

สภาผู้บริโภคชง 7 ข้อเสนอ ค้านหลักสูตร เสริมความงามระยะสั้น ย้ำความปลอดภัยผู้บริโภค

สบส. ยอมถอย รับ 7 ข้อเสนอ ค้านหลักสูตร เสริมความงามระยะสั้น ย้ำความปลอดภัยผู้บริโภค

สภาผู้บริโภคเข้าร่วมหารือกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เพื่อคัดค้านหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม และแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับบริการทางการแพทย์ด้านความงาม พร้อมแสดงจุดยืนคัดค้านหลักสูตร เสริมความงาม ระยะสั้น ซึ่งเป็นการลดมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ และทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในความเสี่ยงจากบริการที่ไร้มาตรฐานและไม่ปลอดภัย โดยเสนอให้ราชวิทยาลัยเป็นผู้จัดทำหลักสูตรแทนสบส. เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากลของ World Federation for Medical Education (WFME)

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค ระบุว่า แม้ธุรกิจความงามจะช่วยเสริมบุคลิกและความมั่นใจ แต่หากขาดมาตรฐานและการควบคุมที่เหมาะสม ย่อมเสี่ยงก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อผู้บริโภคทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้เกิดมาตรฐานที่ชัดเจนและคุ้มครองผู้บริโภคได้จริง สภาผู้บริโภคได้เสนอแนวทางสำคัญ 7 ประเด็น ได้แก่

 (1) ขอให้มีตัวแทนผู้บริโภคเข้าร่วมในคณะกรรมการนโยบายและมาตรฐานความงาม เพื่อให้เสียงของผู้บริโภคถูกนำไปใช้กำหนดนโยบายอย่างแท้จริง (2) ให้แพทยสภาเป็นผู้กำหนดและควบคุมมาตรฐานวิชาชีพอย่างชัดเจน ไม่ใช่ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลมาจัดทำหลักสูตรเอง (3) ให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เช่น คุณวุฒิและระยะเวลาการฝึกอบรมของแพทย์แต่ละคน เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ (4) ให้ สบส. เข้มงวดในการควบคุมการโฆษณาที่เกินจริงและผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อและได้รับอันตรายจากบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน

 (5) ให้จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากบริการเสริมความงาม โดยให้สถานประกอบการร่วมสมทบเงิน เพื่อเป็นกลไกคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเสียหาย (6) เสริมกลไกตรวจสอบคุณภาพและรับรองมาตรฐานสถานพยาบาลให้มีความเข้มแข็ง โปร่งใส และตรวจสอบได้ และ (7) จัดเวทีสัมมนาและการหารือร่วมระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สภาวิชาชีพ และภาคประชาชน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันกำหนดแนวทางยกระดับมาตรฐานบริการเสริมความงามในประเทศไทย

“สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่ความสวยงามภายนอก แต่คือระบบที่ปลอดภัย โปร่งใส และคุ้มครองผู้บริโภคได้จริง” สารี กล่าว

สบส.รับยอดร้องเรียนบริการเสริมความงามเพิ่ม

ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวถึงสถานการณ์และความท้าทายของวงการเสริมความงามในปัจจุบัน ว่า ประเทศไทยมีคลินิกเวชกรรมกว่า 19,900 แห่ง โดยกว่า 8,600 แห่ง หรือเกือบครึ่งหนึ่ง เป็นคลินิกเสริมความงามที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีการขออนุญาตเปิดใหม่เฉลี่ยถึง เดือนละ 90 แห่ง ซึ่งกว่า 80 แห่งเป็นคลินิกเสริมความงามทั้งหมด ท่ามกลางการขยายตัวของธุรกิจนี้ สบส. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคจำนวนมากเกี่ยวกับปัญหาการให้บริการด้านความงาม โดยพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากความไม่ชัดเจนของมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สบส.จึงมีแนวคิดจัดทำหลักสูตรกลางหรือหลักสูตรระยะสั้น เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการและคุ้มครองผู้บริโภค

ทั้งนี้ พบว่าปัญหาหลักอยู่ที่แพทย์ทั่วไป จำนวนมากให้บริการด้านความงามโดยไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานวิชาชีพที่ชัดเจน อีกทั้งยังมีช่องว่างทางกฎหมาย ตามนิยามในมาตรา 4 ของแพทยสภา ที่เปิดโอกาสให้แพทย์ทั่วไปสามารถทำหัตถการเสริมความงามได้ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการควบคุมมาตรฐานและความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งกรมฯ พร้อมถอยบทบาท หากองค์กรวิชาชีพสามารถกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนและเข้มแข็งได้

สบส. รับลูก 7 ข้อเสนอ พร้อมให้ความร่วมมือ

รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ชี้แจงและตอบข้อเสนอทั้ง 7 ประเด็นของสภาองค์กรของผู้บริโภค โดยยืนยันความพร้อมของกรมในการร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนามาตรฐานบริการเสริมความงามให้มีความปลอดภัย โปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้บริโภค

ในประเด็นการมีตัวแทนผู้บริโภคเข้าร่วมในคณะกรรมการนโยบายและมาตรฐานความงาม สบส. แสดงความยินดีที่จะเชิญตัวแทนจากสภาผู้บริโภคเข้าร่วมเป็นกรรมการ เพื่อให้มีเสียงของประชาชน อยู่ในกระบวนการกำหนดนโยบายอย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการมีส่วนร่วมตามกฎหมาย

ส่วนบทบาทของแพทยสภาในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพนั้น กรมฯ ยืนยันว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของแพทยสภา และพร้อมสนับสนุนให้แพทยสภาเป็นผู้นำในการจัดระบบการอบรมและการรับรองแพทย์ที่ให้บริการด้านเสริมความงาม และย้ำว่า “หากแพทยสภามีมาตรฐานและกลไกที่ชัดเจน สบส. พร้อมยุติบทบาทในส่วนนี้ทันที”

ในประเด็นการเปิดเผยข้อมูลคุณวุฒิแพทย์ ทันตแพทย์อาคม ระบุว่า ปัจจุบันมีระบบเผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ให้ประชาชนตรวจสอบคุณวุฒิและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ได้อยู่แล้ว และสามารถดำเนินการต่อเนื่องได้โดยไม่มีอุปสรรค ขณะที่การควบคุมการโฆษณาเกินจริงและผิดกฎหมาย สบส. ได้กำหนดให้สถานพยาบาลทุกแห่งต้องขออนุญาตก่อนทำการโฆษณา โดยมีการดำเนินคดีและปรับผู้ฝ่าฝืนเฉลี่ยเดือนละ 40–50 คลินิก นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือจากสภาผู้บริโภคในการส่งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฉบับแก้ไขปี 2568 ยังได้เพิ่มบทลงโทษให้เข้มงวดขึ้น โดยหากพบการโฆษณาผิดกฎหมาย อาจถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตนาน 6 เดือน

สำหรับข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหาย รองอธิบดีสบส. เปิดเผยว่า เคยมีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายจากบริการทางการแพทย์ ซึ่งมีแนวคิดในการตั้ง “กองทุนเยียวยาผู้เสียหาย” คล้ายกับกองทุน มาตรา 41 ของ สปสช. พร้อมกันนี้ ยังเสนอแนวคิด “ประกันความงาม” เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังติดข้อจำกัดทางกฎหมายของ คปภ. ที่ยังไม่อนุญาตให้ดำเนินการประกันลักษณะนี้

ในส่วนของการตรวจสอบคุณภาพสถานพยาบาลนั้น สบส. ย้ำว่าทุกคลินิกและโรงพยาบาลต้องผ่านเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลก่อนเปิดดำเนินการ ส่วนการรับรองคุณภาพในระดับลึก เช่น HA, ISO หรือ ACI เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานภายนอก โดยกรมฯ กำลังพัฒนา “มาตรฐาน SSO” เพื่อใช้รับรองคุณภาพสถานพยาบาลของภาครัฐ และเตรียมขยายไปยังภาคเอกชนในอนาคต

ท้ายที่สุด สบส.ยังดำเนินการจัดสัมมนาและเวทีหารือร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ตำรวจ ดีเอสไอ สภาวิชาชีพ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน และหน่วยงานด้านกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้าใจและยกระดับมาตรฐานบริการเสริมความงาม โดยมีแผนจะขยายการจัดสัมมนาร่วมกับสภาผู้บริโภค สภาทนายความ และผู้เสียหายจากบริการเสริมความงาม เพื่อรับฟังประสบการณ์ตรงและนำข้อมูลไปใช้พัฒนานโยบายคุ้มครองผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

ผู้เชี่ยวชาญค้านหลักสูตรเสริมความงามระยะสั้น

นอกจากนี้ ในวงประชุมดังกล่าวยังมีการแลกเปลี่ยน หารือ ให้ความเห็นถึงผลกระทบของหลักสูตรเสริมความระยะสั้น โดย พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ แพทย์ผู้ชำนาญการศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อผู้บริโภคและรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการแพทย์ไทย โดยชี้ให้เห็นปัญหาการขาดแคลนแพทย์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี แพทย์จำนวนมากลาออกจากภาครัฐไปทำงานในภาคเอกชน โดยเฉพาะคลินิกเสริมสวยทั่วประเทศ ซึ่งเกิดจากภาระงานที่หนัก พักผ่อนน้อย และสภาพการทำงานที่ยากลำบากในระบบสาธารณสุข

เขา ย้ำว่า การดูแลผู้ป่วยโรคทั่วไป โรคเรื้อรัง หรือผู้สูงอายุ ต้องเป็นภารกิจหลักของวงการแพทย์ มากกว่าการมุ่งเน้นด้านความงามเชิงพาณิชย์ ซึ่งอาจบั่นทอนระบบการแพทย์โดยรวมได้ และในด้านมาตรฐานวิชาชีพ ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการตีความมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม ที่อนุญาตให้แพทย์ทั่วไป (GP) สามารถทำหัตถการเสริมสวยได้ โดยย้ำว่ามาตรา 4 เป็นเพียง “คำนิยาม” ของขอบเขตอาชีพ ไม่ใช่ “สิทธิ” ในการประกอบหัตถการทุกประเภท ทั้งนี้ หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตไม่ได้สอนวิชาศัลยศาสตร์หรือเวชศาสตร์เสริมสวย การทำหัตถการเหล่านี้จึงควรจำกัดอยู่ในขอบเขตของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น พร้อมเรียกร้องให้มีการกำหนด “สิทธิการปฏิบัติงาน” (Privilege) ของแพทย์แต่ละคนอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบคุณสมบัติของแพทย์ได้อย่างโปร่งใส

สำหรับประเด็นหลักสูตรระยะสั้น นพ.อรรถพันธ์คัดค้านอย่างหนัก พร้อมชี้ให้เห็นว่าการเรียนการสอนระยะสั้น ไม่สามารถสร้างทักษะและประสบการณ์ที่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ และอาจทำให้ผู้ป่วยตกเป็นผู้ทดลอง โดยไม่รู้ตัว พร้อมเน้นว่า “ชีวิตของคนไข้มีค่า” และการให้บริการทางการแพทย์ต้องตั้งอยู่บนความซื่อสัตย์ โปร่งใส และยึดประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก

รศ.นพ.ภาวิน เกษกุล ประธานราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหามาตรฐานการฝึกอบรมแพทย์และผลกระทบจากการแพทย์เชิงพาณิชย์ โดยชี้ว่า หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตในปัจจุบันลดทอนชั่วโมงเรียนด้านศัลยกรรมลงมาก จนไม่เพียงพอสำหรับการต่อยอดไปสู่การทำหัตถการเสริมความงามได้ทันที ขณะที่แพทย์ประจำบ้านในสาขาศัลยกรรมต้องเรียนรู้อย่างเข้มข้นตลอด 5 ปี ทั้งด้านกายวิภาค พยาธิวิทยา และการสื่อสารกับผู้ป่วย การอบรมระยะสั้นเพียง 3 เดือนสำหรับแพทย์ทั่วไปไม่อาจยอมรับได้ เพราะขาดความลึกซึ้งและไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ

นพ.ภาวินกล่าวเสริมว่า หากแพทย์จำนวนมากหันไปทำงานด้านเวชกรรมความงาม จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ทำให้เกิดการขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่จำเป็น และเพิ่มภาระให้โรงเรียนแพทย์ที่ต้องรับมือกับกรณีศัลยกรรมที่ผิดพลาดจากคลินิกเอกชน

ขณะที่ นพ.ชาติชัย อติชาติ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ ได้เปรียบเทียบระบบการแพทย์กับเกมฟุตบอลเพื่ออธิบายบทบาทที่เหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน โดยระบุว่า สบส. เปรียบเสมือน “ผู้กำกับ” ขณะที่แพทยสภาคือ “กรรมการในสนาม” และสถาบันฝึกอบรมคือ “โค้ช” หากหน่วยงานกำกับเหล่านี้พยายามเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้จัดทำหลักสูตรเอง ย่อมก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และมีความกังวลต่อกรณีที่คณะกรรมการร่างหลักสูตรของสบส. ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นกลางและละเมิด พ.ร.บ. การอุดมศึกษา

นอกจากนี้ นพ.ชาติชัยเสนอให้ใช้แนวทาง “สิทธิการปฏิบัติงาน” แทน “คำนิยามขอบเขตวิชาชีพ” เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้แพทย์ทั่วไปต้องระบุอย่างชัดเจนว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญในการทำหัตถการใดบ้าง และให้กรม สบส. ตรวจสอบได้ตามข้อมูลจริง พร้อมเรียกร้องให้จัดทำ “ประกาศสิทธิของผู้รับบริการเวชกรรมเสริมสวย” ที่เปิดเผยคุณวุฒิและขอบเขตการทำงานของแพทย์แต่ละรายอย่างโปร่งใส เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลครบถ้วนและสามารถตัดสินใจได้อย่างปลอดภัย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง