
สภาผู้บริโภค ชวนผู้บริโภคใช้พลังลุกขึ้นใช้สิทธิ โทรหาเครือข่ายขอลดโปร เปลี่ยนแพ็กเกจ ปกป้องสิทธิในการใช้ทรัพยากรพื้นฐานด้านโทรคมนาคม
สภาผู้บริโภค เดินหน้ารณรงค์ทวงสิทธิผู้บริโภคทั่วประเทศไทยให้รับการค่าบริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตที่เป็นธรรรมกับ “เปลี่ยนโปร เปลี่ยนแปลง” ด้วยการขอให้ผู้บริโภคทั่วประเทศร่วมกัน “โทรหาเครือข่ายมือถือของตนเอง” เพื่อขอลดค่าบริการรายเดือนและปรับเปลี่ยนแพ็กเกจให้ถูกลงอย่างเป็นธรรม หลังจากค่ามือถือและอินเทอร์เน็ตพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังการควบรวมกิจการของค่ายมือถือและอินเทอร์เน็ต ที่เป็นผลจากมติของสำนักงาน กสทช. ปี 2565 เปิดให้เกิดการควบรวมกิจการของสองค่ายมือถือใหญ่ ทำให้กลายเป็นกิจการที่ผูกขาด ผู้บริโภคไร้อำนาจต่อรอง
แม้กสทช.จะมีเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะ หรือพิเศษกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องปรับลดอัตราค่าบริการเฉลี่ยลง 12% ภายใน 90 วันหลังควบรวม แต่ปัจจุบันผู้บริโภคยังไม่เห็นผลการดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าวสังเกตได้จากแพ็กเกจหลักราคาขั้นต่ำของผู้ให้บริการอยู่ที่ 349-399 บาท ทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่าง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยและผู้สูงอายุที่พึ่งพาบริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน
สำหรับกิจกรรมรณรงค์เชิงนโยบายในครั้งนี้ สภาผู้บริโภคร่วมมือกับเครือข่ายผู้บริโภคกว่า 350 องค์กรใน 58 จังหวัดทั่วประเทศ เชิญชวนผู้บริโภค โทรหาคอลเซ็นเตอร์ค่ายมือถือที่ตนใช้อยู่ พร้อมแจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนแพ็กเกจให้ราคาถูกลงกว่าที่ใช้อยู่ตามการใช้งานจริง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายการสื่อสาร ทั้งแพ็กเกจโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตบ้านทุกเครือข่าย หากเปลี่ยนสำเร็จจะช่วย ลดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยได้คนละ 100–200 บาทต่อเดือน
ซึ่งก่อนหน้านี้สภาผู้บริโภคได้เสนอให้ กสทช. กำหนดเพดานราคาบริการพื้นฐาน ที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ เช่น บริการอินเทอร์เน็ตพื้นฐานหรือไวไฟ (Wi-Fi) ในราคาประมาณ 100 บาทต่อเดือน เพื่อสร้างหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการสื่อสารของคนไทย เนื่องจากบริการโทรคมนาคมคือสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย ทุกคนควรเข้าถึงได้ในราคาที่เป็นธรรม
ทั้งนี้กิจกรรมรณรงค์ในครั้งนี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ วันที่ 27 กันยายน ซึ่งผ่านมาร่วม 20 วัน สภาผู้บริโภคได้ตรวจสอบผลการดำเนินการของผู้ที่เข้าไปเปลี่ยนโปรเพื่อขอปรับให้ราคาถูกลง พบว่า ผู้บริโภคที่สามารถดำเนินการได้สำเร็จใช้แนวทางพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของค่ายมือถือ
ผู้บริโภคเปลี่ยนสำเร็จ จาก 846 บาท เหลือ 446 บาทต่อเดือน
เสียงสะท้อนจากผู้บริโภค อภิเดช พันธ์อินทร์ กล่าวว่า จากเดิมใช้แพ็กเกจรายเดือนราคา 799 บาท รวมภาษี 7% เป็นประมาณ 846 บาท แต่ได้โทรไปขอลดค่าแพ็กเกจลงประมาณ 100–200 บาท แต่ไม่ได้รับการลดราคาจากผู้ให้บริการ ทั้งนี้ได้ตัดสินใจขอย้ายค่ายออก ทำให้เจ้าหน้าที่โทรกลับมาเสนอโปรใหม่ให้ที่ 399 บาท รวมภาษีราว 446 บาท ถือว่ามีราคาที่ถูกลงเกือบครึ่งหนึ่ง แม้เน็ตจะช้าลงเล็กน้อยแต่ถือว่าคุ้มมาก
อภิเดช ยังกล่าวต่อว่า การขอโทรเพื่อปรับเปลี่ยนแพ็คเกจแสดงถึงผู้บริโภคสามารถใช้เสียงในเลือกรับบริการที่มีความเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
ทางด้าน ประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ กล่าวว่า ได้ใช้แพ็คเกจรายเดือนโทรศัพท์มือถือประมาณ 300 บาทต่อเดือน แต่เมื่อครบโปรโมชั่นที่ใช้บริการ กลับถูกปรับเปลี่ยนแพ็คเกจใหม่สู่เดือนละเกือบ 800 บาท โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแจ้งว่าเป็นราคาที่ประเมินจากการใช้งานในปัจจุบัน จึงได้เจรจาขอลดราคาลงแต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยินยอม ทำให้ตัดสินใจส่งข้อความ (SMS) เพื่อขอเปลี่ยนค่ายใหม่ หลังจากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา และเสนอราคาแพ็คเกจที่ถูกลงเพื่อให้ใช้บริการค่ายเดิมในอัตราประมาณ 449 บาทต่อเดือนรวมทุกอย่าง ซึ่งอยู่ในราคาที่มีความเหมาะสมทำให้ได้รับราคาแพ็คเกจที่ถูกลง
“กรณีนี้แสดงผู้ให้บริการมีแพ็คเกจที่มีราคาถูกไว้ให้บริการอยู่แล้ว จึงควรนำเสนอทางเลือกราคาแพ็คเกจที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค และไม่ควรใช้แนวทางเมื่อสิ้นสุดระยะโปรโมชั่นจะปรับราคาขึ้นทันที ทั้งที่แต่ละค่ายมือถือน่าจะมีโปรลับราคาพิเศษไว้อยู่แล้ว” ประสิทธิ์ กล่าว
อย่างก็ตาม ยังมีเสียงจากผู้บริโภคบางส่วนที่ขอใช้สิทธิปรับเปลี่ยนแพ็คเกจให้ลดราคาลง แต่เมื่อขอปรับแพ็คเกจผู้ให้บริการยังถูกขอปรับราคาขึ้นเช่นกันและพบปัญหาเรื่องบริการแฝงที่พ่วงมาด้วย
สัญญาณไวไฟไม่ทั่วถึง ครอบครัวแบกรับค่าใช้จ่ายเดือนละพัน
เสียงสะท้อนของ ขวัญตา บุญช่วย บอกว่า ปัจจุบันใช้แพ็คเกจรายเดือนประมาณ 200 บาท และโทรฟรี 15 นาทีทุกเครือข่าย แต่เมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตครบตามกำหนดไว้ในแพ็กเกจ ความเร็วของสัญญาณก็จะถูกปรับลดลงทันที โดยได้ใช้สิทธิของผู้บริโภคโทรติดต่อผู้ให้บริการเพื่อขอปรับลดแพ็กเกจให้มีราคาถูกลง แต่กลับได้รับแจ้งว่าแพ็กเกจที่ใช้อยู่เป็นราคาต่ำสุดแล้วของบริษัท จึงจำเป็นต้องใช้แพ็กเกจเดิมต่อไป แม้รู้สึกว่าคุณภาพบริการไม่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป
บุญตา กล่าวต่อว่า จำนวนสมาชิกของครอบครัวที่มีทั้งหมด 4 คน ต่างต้องใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ ทำให้ครอบครัวต้องจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตรวมกันกว่า 1,000 บาทต่อเดือน แต่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร และการเดินทางในบางครั้งต้องผ่านหุบเขาที่เป็นจุดอับสัญญาณ
รวมถึงพื้นที่ที่อาศัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังไม่มีการขยายสัญญาณไวไฟให้ครอบคลุม ทำให้ไม่ขอติดตั้งบริการไวไฟได้ หากผู้ประกอบการสามารถขยายสัญญาณบริการไวไฟให้ครอบคลุมเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ในระยะยาว
โทรขอลดราคา แต่พบข้อเท็จจริงถูกแฝงให้ใช้บริการเสริม
วิชดา นฤวรพัฒน์ เล่าว่า ปัจจุบันใช้โปรรายเดือนประมาณ 799 บาท รู้สึกว่าจ่ายแพง กับสภาพสังคมที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตทุกวันแบบนี้ ไม่ว่าจะประชุม ทำธุรกรรมทางการเงิน โซเชียลต่างๆ รวมถึงโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ต้องใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดเลยได้พยายามโทรหาค่ายมือถือเพื่อขอลดราคาแพ็กเกจลง แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธ โดยอ้างว่าบริการที่ใช้อยู่มีการให้สิทธิพิเศษเสริม เช่น การดูหนังและผ่านเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) แถมมาในแพ็กเกจ ทำให้ต้องยกเลิกบริการเสริมเหล่านี้ก่อนถึงจะลดราคาได้ และปัจจุบันอยู่ระหว่างขอปรับลดราคาแพ็กเกจรายเดือนให้มีราคาที่ต่ำลงมากกว่านี้
จากรายเดือนสู่ซิมรายปี ทางเลือกในการใช้บริการที่ถูกลง
ทางด้านไตรรัตน์ ขุนหลัด จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี เล่าว่า จากใช้บริการรายเดือนของค่ายใหญ่ แต่มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงใช้แนวทางเปลี่ยนมาใช้ซิมรายปีจากร้านค้าตัวแทน ในราคาเฉลี่ย 3,800–3,900 บาทต่อปี หรือประมาณ 300–400 บาทต่อเดือน โดยแพ็คเกจนี้เปิดให้โทรฟรีในเครือข่ายเดียวกัน ส่วนอินเทอร์เน็ตจะเน้นใช้บริการไวไฟแทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริการโทรคมนาคมรายเดือน
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคพบว่า จากความคิดเห็นของผู้บริโภคในเรื่องการปรับเปลี่ยนแพ็คเกจมือถือและอินเทอร์เน็ตในครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากผู้บริโภคต้องการได้ราคาที่ถูกลงแล้ว ยังอยากได้ทางเลือกหรือความหลากหลายของแพ็กเกจ และคุณภาพของสัญญาณที่เสถียรและครอบคลุมทั้งอินเทอร์เน็ตและการโทรศัพท์ต่างเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อผู้บริโภคทุกคนที่ต้องใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างขาดไม่ได้ อีกทั้งแสดงถึงผู้บริโภคมีพลังและสิทธิในการต่อรองได้จริง เพียงแค่กล้าโทรไปขอเปลี่ยนโปร ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง และเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคคนอื่น ๆ ลุกขึ้นมาใช้สิทธิของตนเอง เพื่อเรียกร้องบริการโทรคมนาคมของตัวเองให้เหมาะสมของแต่บุคคลมากที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง