Ribbon

แนะรัฐใช้มาตรการเข้ม ปราบสแกมเมอร์ชายแดน เร่งเตือนภัยเบอร์มิจฉาชีพ

จากกรณีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดำเนินมาตรการขั้นสูงสุดกับผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ปล่อยปละละเลยให้มีการลากสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยถือเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงด้านความมั่นคง ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นั้น

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ กสทช. ควรบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและดำเนินการมานานแล้วแต่ไม่ควรปล่อยให้ปัญหายาวมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการมีมาตรการในการตรวจสอบสายสัญญาณต่างๆ ที่มีการส่งข้ามไปในประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากการมาตรการนี้แล้ว หากมีการตัดสัญญาณเพื่อแก้ปัญหาแก๊งสแกมเมอร์นั้น รัฐบาลและ กสทช. จะต้องประเมินผลกระทบตามมาด้วย พร้อมวางแนวทางสำรองเพื่อช่วยดูแลประชาชนส่วนหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณแนวชายแดนและใช้สัญญาณเหล่านั้น ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภัยมิจฉาชีพหากได้รับผลกระทบ โดยรัฐบาลและ กสทช. ต้องนำเสนอแผนในการบริหารจัดการไม่ให้ประชาชนที่บริสุทธิ์ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการสื่อสาร รวมถึงเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตหรือสัญญาณโทรศัพท์สำหรับประชาชนแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบ เช่น การจัดทำระบบเซลล์ไซส์เล็กๆ ที่ไม่ข้ามสัญญาณ เพื่อให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์สามารถใช้งานได้ตามปกติ

ขณะเดียวกันมาตรการที่ควรผลักดันอย่างจริงจังคือ ระบบแจ้งเตือน (Caller ID) ที่จะช่วยป้องกันภัยมิจฉาชีพได้ตรงจุดมากขึ้นเพื่อป้องกันผู้บริโภคในประเทศ โดยระบบนี้ควรใช้เทคโนโลยีเอไอ และระบบคอมพิวเตอร์เข้าร่วมประมวลผลข้อมูล เพื่อตรวจสอบและแจ้งเตือนทันทีเมื่อมีเบอร์โทรเข้าที่ถูกรายงานว่ามีความผิดปกติ หรือเป็น “เบอร์ม้า” ที่ผิดกฎหมาย รวมถึงมีระบบแจ้งเตือนตัวตนของผู้โทรเข้ามา เพื่อทำให้ผู้รับสายได้เตรียมรับมือกับสายที่ดูผิดปกติ

“เปรียบได้กับการที่คนมาเคาะประตูบ้านเรา แต่สวมหมวกกันน็อกและไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร เราย่อมมีสิทธิ์ที่จะไม่คุยด้วย” น.ส.สุภิญญา กล่าว

นอกจากนี้ น.ส.สุภิญญา เสนอให้ควรจัดทำระบบการแจ้งเตือนและการบล็อกอัตโนมัติ โดยหากระบบตรวจพบว่าเป็นเบอร์ที่ผิดกฎหมายแน่ชัด ทั้งจากซิมเถื่อนหรือซิมบ็อกซ์ โดยระบบของโอเปอเรเตอร์ควรบล็อกเบอร์ทั้งหมด ซึ่งการบล็อกอัตโนมัติโดยเฉพาะเบอร์ที่ใช้เครื่องโทรมา สามารถลดความเสี่ยงของผู้บริโภคได้ถึง 20-30%

ขณะเดียวกันควรเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถกดรายงาน (report) เบอร์ที่เป็นมิจฉาชีพได้ เมื่อเบอร์นั้นโทรไปยังผู้อื่น ระบบจะขึ้นแจ้งเตือนทันที อีกทั้งควรมีการยืนยันตัวตนหน่วยงานรัฐ โดยหากเป็นเบอร์ที่อ้างว่าเป็นหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานสำคัญ เช่น โรงพยาบาล ธนาคาร ควรมีการยืนยันตัวตน (verify) จากระบบของโอเปอเรเตอร์ เพื่อป้องกันการแอบอ้าง

“เรื่องภัยสแกมเมอร์จะเป็นปัญหาต่อเนื่องอีกยาวนาน รัฐบาลและ กสทช. ต้องมีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนและรองรับทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการรายงานผลการปราบปรามซิมผิดกฎหมายและสัญญาณที่ลากผ่านพรมแดนอย่างต่อเนื่องและเปิดเผยต่อสาธารณะเป็นระยะๆ (รายไตรมาส) เพื่อให้สังคมได้รับรู้” น.ส.สุภิญญา กล่าว

ด้านนาวาโทศักติพงษ์ สิบหมื่นเปี่ยม ผู้อำนวยการฝ่ายเฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค ย้ำถึงมาตรการจัดการสายสื่อสารข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น ถือเป็นเพียงการป้องปราม แต่มีช่องโหว่ใหญ่หลายด้าน ทั้งการลักลอบดึงสัญญาณไฟเบอร์ข้ามประเทศ การใช้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมจากสตาร์ลิงก์ (Starlink) และช่องทางดาต้า เซ็นเตอร์ ที่ควรได้รับการกำกับดูแลจาก กสทช. เพิ่มเติม

สำหรับช่องโหว่การลักลอบส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปในประเทศเพื่อนบ้านนั้น ได้ใช้แนวทางดึงสัญญาณจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นเครื่องมือในการกระจายตัวสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือเรียกว่า เราเตอร์ จากบ้านที่มีหลายพอร์ต สามารถแปลงเป็นสายไฟเบอร์เพื่อลากข้ามแดนไปอย่างผิดกฎหมาย ดังนั้นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตควรมีการติดตามปัญหาการลักลอบปัญหาเหล่านี้มากขึ้น โดยผู้ที่ต้องมอนิเตอร์คือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่มีอยู่จำนวนมาก รวมถึงผู้ให้บริการควรตรวจสอบข้อมูลประเภทเสียง (Voice over IP) ที่ใช้สำหรับการโทรหลอกลวงได้ ซึ่งการตรวจสอบควรเน้นเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดน

นอกจากนี้มีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาได้คือ อินเทอร์เน็ตดาวเทียมสตาร์ลิงค์ (Starlink) แม้ว่าผู้ให้บริการหลักในไทยจะตัดสายสัญญาณไฟเบอร์ออปติกหมดแล้ว แต่กลุ่มสแกมเมอร์ยังอาจจะเปลี่ยนไปไปใช้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมจากสตาร์ลิงค์ได้ ซึ่งบริการนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของไทย ทำให้ไทยไม่สามารถใช้มาตรการนี้ป้องกันได้

ต่อมายังต้องเฝ้าระวังจาก ระบบดาต้า เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย ที่ในปัจจุบันการให้บริการต้องขออนุญาตจาก กสทช. แต่เป็นคนละประเภทกับการให้บริการอินเทอร์เน็ตโดยตรง ดังนั้นหากผู้เช่าดาต้า เซ็นเตอร์ในไทย ใช้ช่องทางนี้ในการสร้างลิงก์ เพื่อเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศเพื่อให้บริการ ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงตามมาได้ ดังนั้น กสทช. จึงควรเข้ามากำกับดูแลในเรื่องดาต้า เซ็นเตอร์

นาวาโทศักติพงษ์ กล่าวต่อว่า ตำรวจ ทหาร และ กสทช. สามารถใช้แนวทางเพิ่มเติมทั้ง การใช้กำลังคนสำรวจตามแนวชายแดนเพื่อตรวจสอบบ้านที่มีความผิดปกติ การลากสายสัญญาณ หรือการตั้งเสาเถื่อนเพื่อส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปต่างประเทศ รวมถึงต้องสร้างความตระหนักรู้ ขณะเดียวกันควรมุ่งยกระดับสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง