
เหตุไฟไหม้ตึกสูงครั้งใหญ่ในฮ่องกง ที่คร่าชีวิตกว่า 150 ราย เป็นสัญญาณเตือนถึงกรุงเทพฯ เมืองที่กำลังเติบโตและหนาแน่นด้วยอาคารสูงในซอยแคบ คดี “ดิเอทัส” คือภาพสะท้อนให้เห็นถึงระบบการจัดการที่ละเลยประเด็นความปลอดภัยมายาวนาน คำถามคือ เราจะรอให้เกิดเหตุซ้ำรอยฮ่องกงหรือ?
ย้อนกลับไปวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ฮ่องกงต้องเผชิญเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ที่ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งเลวร้ายที่สุด เมื่อโครงการเคหะ “หว่องฟุกคอร์ต (Wang Fuk Court)” ในเขตไท่โป (Tai Po) เกิดเพลิงไหม้ที่ลุกลามต่อเนื่อง สร้างความเสียหายต่ออาคารสูง 7 จาก 8 อาคารในโครงการดังกล่าว และใช้เวลาในการควบคุมเพลิงยาวนานกว่า 40 ชั่วโมง
หว่องฟุกคอร์ต เป็นโครงการที่พักอาศัยเก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2526 มีผู้อยู่อาศัยกว่า 4,600 คน และเกือบ 40% เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษในการอพยพหนีภัย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2568 มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึง 159 ราย ซึ่งทำให้เหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนี้กลายเป็นโศกนาฏกรรมเพลิงไหม้อาคารครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกงอย่างเป็นทางการ
ความสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้สะเทือนเฉพาะฮ่องกง แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนภัยให้อีกหลายเมืองทั่วเอเชีย โดยเฉพาะ “กรุงเทพมหานคร” ที่ต้องกลับมาตั้งคำถามครั้งใหญ่เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยในอาคารสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “พื้นที่เมืองเก่า ซอยแคบ ถนนเข้าถึงจำกัด” ที่เป็นลักษณะร่วมกันของฮ่องกงและกรุงเทพฯ อย่างชัดเจน
ฮ่องกง – กรุงเทพฯ: ต่างบริบท โจทย์เดียวกัน
แม้ฮ่องกงจะหนาแน่นและแออัดด้วยตึกสูงมายาวนาน แต่กรุงเทพฯ กำลังถูกผลักดันให้เติบโตในแนวตั้งด้วยราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิด “ความซับซ้อนทางกายภาพ” แบบเดียวกัน คือการมีอาคารสูงจำนวนมาก ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองเก่าที่ซอยคับแคบ ถนนไม่รองรับรถดับเพลิง รถฉุกเฉิน และประชากรหนาแน่น ความเสี่ยงของทั้งสองเมือ
งจึงไม่ได้มาจากไฟไหม้เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการขาดระบบรองรับ ทั้งเชิงวิศวกรรม การกำกับดูแล และการควบคุมการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
กรณีของ ฮ่องกงสาเหตุสำคัญของไฟไหม้ครั้งนี้ เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก 1) งานปรับปรุงอาคารที่ขาดมาตรฐาน นั่งร้านไม้ไผ่ การใช้วัสดุติดไฟง่ายอย่างตาข่ายพลาสติกและโฟมบอร์ดกลายเป็นตัวเร่งเพลิง ทำให้ไฟลุกลามระหว่างอาคารภายในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ยังพบว่ามีการปิดระบบเตือนไฟไหม้ในช่วงซ่อมบำรุง นำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้อง 6 ราย และกลายเป็นคำถามใหญ่ต่อระบบควบคุมคุณภาพการซ่อมบำรุง
2) ระบบกำกับดูแลที่หละหลวม โดยจากข้อมูลพบว่า ผู้รับเหมาที่มีประวัติไม่ดียังคงได้รับงานปรับปรุงอาคาร ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจอาคารเพิ่งเข้าตรวจการปรับปรุงเพียงไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุแต่ไม่สั่งระงับงาน ทำให้เกิดคำถามถึงกลไกการตรวจสอบและกำกับดูแล
3) อุปสรรคเชิงกายภาพพื้นที่ภายในอาคารคับแคบ ข้าวของจำนวนมากขวางการอพยพและการเข้าช่วยเหลือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำงานทีละยูนิต ทีละชั้น
แม้ว่า รัฐบาลฮ่องกงจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว แต่เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ การตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัย และการกำกับดูแลของภาครัฐ
สำหรับใน กรุงเทพฯ แม้จะยังไม่เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่เท่าฮ่องกง แต่จากการสำรวจของสภาผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคพบว่า มีอาคารสูงจำนวนมากที่ผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะมีผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้เพิ่มขึ้น ด้วยความแออัดของตึกสูงเพิ่มจำนวน และเนื่องจากข้อจำกัดทางพื้นผิวจราจรที่อาจเป็นเหตุให้รถดับเพลิงและรถฉุกเฉินไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากความล้มเหลวตั้งแต่ “ขั้นตอนอนุญาตให้ก่อสร้าง” การกำกับดูแล และการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานภาครัฐ
“ดิเอทัส” ภาพสะท้อนปัญหาตึกสูงในไทย
ในกฎหมายไทย พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดชัดเจนว่าอาคารที่สูงกว่า 8 ชั้น หรือ 23 เมตร ต้องอยู่ติดกับถนนสาธารณะที่มีความกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร และต้องมีถนนที่มีผิวจราจรโดยรอบตัวอาคารที่กว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร เพื่อให้รถดับเพลิงสามารถเข้าถึงได้ในทุกด้าน นี่คือมาตรการความปลอดภัยพื้นฐานที่สุดสำหรับอาคารสูง แต่ในหลายกรณีกลับพบว่าข้อกำหนดเหล่านี้ถูกละเลยตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นของการพิจารณาอนุญาตก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการอนุมัติให้ก่อสร้างอาคารสูงในซอยที่มีความกว้างเพียง 3–6 เมตรยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียกได้ว่า “เห็นจนชินตา” ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถรองรับการเข้าถึงของรถดับเพลิงหรือชุดกู้ภัยได้เลย หากเกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงแบบเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ความเสียหายอาจยิ่งหนักหนากว่า และเจ้าหน้าที่อาจไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ทันเวลา
กรณีโรงแรมดิเอทัส ซอยร่วมฤดี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหาอาคารสูงผิดกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการจัดการ กำกับดูแล โดยเฉพาะระบบการบังคับใช้กฎหมายของไทยที่อาจกล่าวได้ว่า “ไร้ประสิทธิภาพ” เนื่องจากกรณีพิพาทดิเอทัสนั้น ชาวชุมชนซอยร่วมฤดีรวมตัวกันเพื่อฟ้องคดีตั้งแต่ปี 2551 จนกระทั่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในปี 2557 ว่าอาคารดังกล่าวผิดกฎหมาย และมีคำสั่งให้รื้อถอนทั้งอาคารหรือปรับลดความสูงลงเหลือไม่เกิน 23 เมตร
แต่ปัจจุบัน ล่วงเลยมากว่า 11 ปีหลังคำพิพากษา คำสั่งศาลก็ยังไม่สามารถถูกนำไปบังคับใช้ได้จริง สถานการณ์นี้นอกจากจะสะท้อนความล้มเหลวของระบบบังคับใช้กฎหมายแล้ว อาจเป็นการส่งสัญญาณอันตรายต่อผู้ประกอบการรายอื่นว่าการละเมิดกฎหมายอาคารอาจไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ ตามมา
ต่อมา หลังจากช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่สภาผู้บริโภคได้ร่วมปรึกษาหารือกับผู้ว่าฯ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่า กทม. และ ดร.นรเทพ ชูพูล ผอ. เขตปทุมวัน เกี่ยวกับกรณีการรื้อถอนอาคารสูงผิดกฎหมาย “ดิเอทัส” ล่าสุด วันที่ 3 ธันวาคม 2568 กทม. ได้ปิดป้ายประกาศ เพื่อเตรียมรื้อถอนอาคารแล้ว โดยมีกำหนดจะเริ่มขั้นตอนการรื้อถอน ในวันที่ 15 ธันวาคม 2568
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญยังคงอยู่ที่ว่า การรื้อถอนครั้งนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และจะสามารถกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการปฏิรูประบบควบคุมอาคารของไทยได้หรือไม่
บทเรียน ไฟไหม้ตึกสูง : ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอย
บทเรียนจากเหตุเพลิงไหม้หว่องฟุกคอร์ต และข้อเท็จจริงของคดีดิเอทัส สะท้อนปัญหาร่วมของเมืองใหญ่ที่มีอาคารสูงตั้งอยู่ในพื้นที่แออัดได้อย่างชัดเจนว่า ความปลอดภัยของอาคารไม่ได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับระบบกฎหมายที่เข้มแข็งและการบังคับใช้ที่เกิดขึ้นจริง การกำหนดให้ถนนต้องกว้าง 10 เมตรหรือมีที่ว่างรอบอาคาร 6 เมตรจะไร้ความหมายทันที ถ้าขั้นตอนการตรวจสอบ การอนุญาต และการระงับเมื่อพบความผิดปกติไม่ถูกปฏิบัติอย่างจริงจัง
หากไทยยังปล่อยให้การก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบเดินหน้าต่อไปโดยไร้การบังคับใช้กติกาที่จริงจัง ประเทศอาจต้องเผชิญโศกนาฏกรรมไม่ต่างจากฮ่องกง คำถามสำคัญคือ รัฐจะต้องรอให้เหตุร้ายครั้งใหญ่เกิดขึ้นก่อนหรือไม่ จึงค่อยลงมือแก้ปัญหา หรือจะเริ่มปฏิรูประบบและป้องกันความสูญเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ความผิดพลาดเดิมจะซ้ำรอยอีกครั้ง
หากไทยยังปล่อยให้การก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบเดินหน้าต่อไปโดยไร้การบังคับใช้กติกาที่จริงจัง ประเทศอาจต้องเผชิญโศกนาฏกรรมไม่ต่างจากฮ่องกง คำถามสำคัญคือ รัฐจะต้องรอให้เหตุร้ายครั้งใหญ่เกิดขึ้นก่อนหรือไม่ จึงค่อยลงมือแก้ปัญหา หรือจะเริ่มปฏิรูประบบและป้องกันความสูญเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ความผิดพลาดเดิมจะซ้ำรอยอีกครั้ง
ที่มาข้อมูลและข่าวที่เกี่ยวข้อง
พบแล้ว 146 ศพ เหตุไฟไหม้อาคารฮ่องกง ตรวจค้นเสร็จแล้ว 4 จาก 7 หลัง
Hong Kong high-rise fire: 159 killed, 6 arrests over failed fire alarms
10 ปี คดี ดิเอทัส ร่วมฤดี อาคารสูงผิดกฎหมาย ยังยืนท้าทายคำพิพากษา
ศาลสูงสุดพิพากษายืน คดี “ดิเอทัส” เปิดทางรื้อถอน 1 ธ.ค.



