
ภาระค่าใช้จ่ายปลายปีผลักผู้บริโภคจำนวนหนึ่งให้หันพึ่งแอปกู้เงินนอกระบบ หลังเข้าไม่ถึงสินเชื่อรัฐหรือธนาคาร สถิติพบ แอปกู้เงินจำนวนมากผิดกฎหมาย ซ้ำเติมผู้กู้ด้วยดอกเบี้ย ค่าปรับ และการทวงหนี้ที่ละเมิดสิทธิ
เงินกู้ที่ดูเหมือนช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อาจกลายเป็นภาระหนี้ที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อแอปพลิเคชันกู้เงินนอกระบบบางแอปถูกตำรวจสอบสวนกลางตรวจพบว่าเรียกเก็บค่าบริการสูงถึง 40% ของยอดเงินกู้ต่อ 7 วัน ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นรายปี เทียบเท่าดอกเบี้ยมากกว่า 3,000% ต่อปี พร้อมพฤติการณ์ข่มขู่และคุกคามผู้กู้ด้วยการขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ภาระรายจ่ายของหลายครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกัน ทั้งค่าเดินทางกลับภูมิลำเนา ค่าใช้จ่ายในครอบครัว ค่ารักษาพยาบาล หรือรายจ่ายฉุกเฉิน ทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยจำเป็นต้องมองหาแหล่งเงินกู้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบหรือแหล่งเงินกู้ของภาครัฐได้ จากเงื่อนไขรายได้ ประวัติทางการเงิน หรือขั้นตอนที่ใช้เวลานาน เมื่อความจำเป็นเร่งด่วนมาชนกับข้อจำกัดเหล่านี้ ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งจึงหันไปพึ่งการกู้ยืมจากคนรู้จัก บริษัทสินเชื่อเอกชน หรือแอปพลิเคชันกู้เงินที่โฆษณาว่า ‘อนุมัติเร็ว ไม่เช็กเครดิตบูโร’ ซึ่งแม้จะดูเป็นทางออกเฉพาะหน้า แต่กลับแฝงความเสี่ยงสูง
ข้อมูลจากหลายหน่วยงานสะท้อนตรงกันว่า ปัญหาแอปกู้เงินผิดกฎหมายหรือแอปเงินกู้เถื่อนยังคงสร้างความเสียหายให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตรวจสอบแอปพลิเคชันที่อ้างให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พบว่า จาก 11 แอปที่เข้าตรวจสอบ มีถึง 10 แอปที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ธปท. จึงอยู่ระหว่างประสานให้ลบแอปเหล่านี้ออกจากแอปสโตร์ (App Store) และกูเกิ้ลเพลย์ สโตร์ (Google Play Store) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงที่มาในรูปแบบบริการทางการเงิน
กรณีร้องเรียนที่สภาผู้บริโภคได้รับ สะท้อนให้เห็นความรุนแรงของปัญหาในชีวิตจริง ตัวอย่างเช่น ผู้บริโภครายหนึ่งกู้เงินผ่านแอปเงินกู้ที่ติดตั้งมากับสมาร์ทโฟน โดยขอกู้เงินจำนวน 80,000 บาท แต่เมื่อเงินโอนเข้าบัญชี กลับถูกหักค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยล่วงหน้า ทำให้ได้รับเงินไม่เต็มจำนวน ขณะเดียวกัน แอปเหล่านี้ยังกำหนดระยะเวลาชำระคืนที่สั้นมาก เมื่อไม่สามารถชำระได้ตามกำหนด จะถูกคิดดอกเบี้ยและค่าปรับเพิ่มในอัตราสูง และถูกชักชวนให้กู้เงินเพิ่มเพื่อนำมาปิดหนี้เดิม ส่งผลให้หนี้ถูกขยายซ้ำซ้อนจากหลายแอป ภายในเวลาไม่นาน ยอดหนี้จากเงินต้นเพียง 80,000 บาท พอกพูนกลายเป็นมากกว่า 700,000 บาท พร้อมกับการทวงหนี้ที่กดดัน คุกคาม และผิดกฎหมาย จนผู้บริโภครายดังกล่าวตกอยู่ในภาวะเกือบหมดตัวและเผชิญความเครียดอย่างรุนแรง กรณีเช่นนี้สะท้อนว่าแอปกู้เงินเถื่อนจำนวนมากไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อน แต่เป็นกับดักหนี้ที่ทำให้สถานการณ์ทางการเงินเลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ในทางกฎหมาย การให้กู้ยืมเงินมีเพดานอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนเช่นกัน โดยการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลทั่วไป อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลในระบบซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย มีเพดานดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 25 ต่อปี รวมค่าธรรมเนียมแล้ว แต่แอปกู้เงินเถื่อนจำนวนมากกลับเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าปรับในอัตราที่สูงกว่ากฎหมายกำหนดหลายเท่าตัว บางกรณีคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน หักเงินล่วงหน้า หรือกำหนดระยะเวลาคืนสั้นมาก ทำให้ผู้กู้แม้จะเริ่มจากเงินต้นไม่สูง แต่ยอดหนี้กลับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่นาน ในที่สุดก็ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้
ดังนั้น เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถแยกแยะผู้ให้บริการสินเชื่อที่ถูกกฎหมายออกจากแอปเถื่อน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดช่องทางให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อและแอปกู้เงินที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ผ่าน เว็บไซต์ ธปท. ผู้บริโภคสามารถค้นหาชื่อแอปหรือชื่อผู้ประกอบการ หากเป็นผู้ให้บริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะมีข้อมูลการอนุญาตและช่องทางติดต่อแสดงอย่างชัดเจน แต่หากระบบแจ้งว่า “ไม่พบผลการค้นหา” ถือเป็นสัญญาณเตือนให้หลีกเลี่ยงทันที รวมถึงควรหลีกเลี่ยงแอปที่ขอเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเกินความจำเป็น เช่น รายชื่อผู้ติดต่อหรือข้อความในโทรศัพท์ ซึ่งมักถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการทวงหนี้และคุกคามภายหลัง
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้บริโภคถูกทวงถามหนี้อย่างไม่เป็นธรรม ต้องรู้ว่ากฎหมายคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้อย่างชัดเจน เจ้าหนี้หรือผู้ทวงหนี้ห้ามทวงถามหนี้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่บุคคลที่ลูกหนี้ระบุไว้ ห้ามเปิดเผยความเป็นหนี้ให้ผู้อื่นรับรู้ ยกเว้นบุคคลในครอบครัวใกล้ชิด ห้ามประจานหรือทำให้เสียชื่อเสียง ห้ามใช้ถ้อยคำ สัญลักษณ์ หรือวิธีการใด ๆ ที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเป็นการทวงหนี้ รวมถึงห้ามข่มขู่ ใช้ความรุนแรง หรือใช้วาจาดูหมิ่น หากเจ้าหนี้ฝ่าฝืน มีโทษปรับสูงถึง 100,000 บาท และในกรณีทวงหนี้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ อาจมีโทษจำคุกถึง 1 ปี หรือปรับสูงถึง 100,000 บาท
หากผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อแอปกู้เงินผิดกฎหมายหรือถูกทวงหนี้ผิดกฎหมาย ควรเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดไว้ให้ครบถ้วน ทั้งรายการเดินบัญชี ข้อความการติดต่อ ภาพหน้าจอแอป และข้อมูลบัญชีที่เกี่ยวข้อง จากนั้นสามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่หรือแจ้งความออนไลน์ ที่นี่ และร้องเรียนมายัง เว็บไซต์สภาผู้บริโภค หรือโทร.1502
ท้ายที่สุด ในสถานการณ์ที่รายได้ไม่พอรายจ่ายและการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบยังมีข้อจำกัด ผู้บริโภคควรรู้เท่าทันความเสี่ยง ตรวจสอบแหล่งกู้ให้รอบคอบ และใช้สิทธิของตนเองเมื่อถูกเอาเปรียบ เพื่อไม่ให้การกู้เงินซึ่งตั้งใจใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า กลายเป็นกับดักหนี้ที่สร้างความเสียหายยาวนานข้ามปีและยากจะคลี่คลาย



