Getting your Trinity Audio player ready... |

ประกันปรับเงื่อนไขไม่แจ้ง เข้าข่ายเอาเปรียบ ผู้บริโภคร้องเรียนได้ ชี้ระบบร่วมจ่ายในประกันสุขภาพ (Co-Payment) แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ กระตุ้นรัฐ คุมค่ารักษาพยาบาล แก้ปัญหาถาวร
จากกรณีของบริษัทกรุงไทย – แอกซ่า มีการปรับค่าเบี้ยขึ้นในอัตราที่ถือว่าสูง และกรณี ประกันปรับเงื่อนไขไม่แจ้ง ที่ผู้เอาประกันรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีการเรียกบริษัทเข้าหารือ ก่อนที่ในที่สุดบริษัทฯ ยกเลิกการดำเนินการดังกล่าวนั้น และสภาผู้บริโภค ได้รับเบาะแสจากผู้บริโภคให้เข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้
วันนี้ (2 สิงหาคม 2568) จิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า จากกรณีของกรุงไทย – แอกซ่าจะยุติลงแล้ว แต่ยังไม่สามารถตัดประเด็นที่อาจมีบริษัทประกันอื่นดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่ถูกเปิดเผยในวงกว้าง โดยบางรายอาจปรับเบี้ยเล็กน้อยจนผู้บริโภคสามารถแบกรับได้ โดยแนวทางนี้ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค และไม่ควรเป็นที่ยอมรับ
“การออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยในแต่ละครั้ง บริษัทประกันจะต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงโดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอย่างละเอียด มีการคำนวณจุดคุ้มทุน ระยะเวลาคุ้มครอง และค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมด ก่อนจะเสนอต่อ คปภ. เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของแบบประกัน แต่หากบริษัทได้ผ่านขั้นตอนเหล่านี้แล้ว การกลับมาเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในภายหลัง ถือว่าไม่ชอบธรรม สะท้อนว่าบริษัทไม่ยอมรับความเสี่ยงที่ตนเองประเมินไว้” จิณณะ ระบุ
สำหรับแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลหลักในการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคเพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทประกันควรบริหารความเสี่ยงโดยยึดจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ประเมินไว้ล่วงหน้า หากเห็นว่าค่ารักษาพยาบาลสูงผิดปกติ บริษัทควรตรวจสอบต้นเหตุ เช่น มีการเรียกเก็บค่ารักษาเกินความจำเป็นหรือไม่ เช่น ค่าห้องพิเศษหรือค่ายาเวชภัณฑ์บางรายการมีราคาสูงเกินจริงหรือไม่ ไม่ใช่ผลักภาระมาที่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งนอกจากเป็นการละเลยการบริหารความเสี่ยงของตนเองแล้ว ยังสะท้อนการไม่ปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทเอง
ขณะเดียวกัน จิณณะได้สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างด้านค่ารักษาพยาบาลที่ไม่มีการควบคุมราคาในภาคเอกชนอย่างจริงจัง ทำให้โรงพยาบาลบางแห่งสามารถตั้งราคาได้โดยไม่มีเพดานหรือกลไกกำกับ ค่ารักษาพยาบาลจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคและเปรียบเสมือนการค้าชีวิต ทำให้ อนุกรรมการฯ เสนอว่าควรมีการกำหนดเพดานราคาหรือโครงสร้างควบคุมค่ารักษาพยาบาลโดยกระทรวงพาณิชย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบประกันสุขภาพและชีวิตมีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคเคยมีข้อเสนอขอให้ทบทวนระบบการร่วมจ่าย ที่ใช้ในแบบประกันสุขภาพบางประเภท เนื่องจากเป็นมาตรการที่เกิดขึ้นในปลายเหตุ แทนที่จะจัดการกับต้นเหตุซึ่งคือการควบคุมค่ารักษาพยาบาลที่สูงเกินจริง และขณะนี้แม้มีคำสั่งบังคับใช้แล้ว แต่สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าติดตามเพื่อขอให้มีการทบทวนระบบดังกล่าวหากพบว่าส่งผลเสียต่อผู้บริโภค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ท้ายที่สุด จิณณะ ฝากถึงผู้บริโภคให้ตระหนักถึงสิทธิของตนเองในฐานะผู้เอาประกันภัย โดยควรตรวจสอบรายละเอียดเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างรอบคอบ หากพบการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มภาระให้ตนเอง สามารถแจ้งมายังสภาผู้บริโภค ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์สภาผู้บริโภค เพื่อตรวจสอบและเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพร้อมสนับสนุนทางกฎหมายหากจำเป็น พร้อมเปิดรับข้อมูลจากผู้บริโภคที่อาจประสบปัญหาลักษณะเดียวกันกับบริษัทประกันอื่น เพื่อให้สามารถติดตามและผลักดันนโยบายในภาพรวมต่อไป