
เปิดคำพิพากษาศาลปกครอง คดี ควบรวม ทรูดีแทค สภาผู้บริโภคเดินหน้าต่อสู้ เพื่อร่วมปกป้องสิทธิผู้บริโภค รวมถึงการหาแนวทางปรับแก้ไขกฎหมายโทรคมนาคมระยะยาว
จากกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.ย. 2568 ไม่เพิกถอนมติที่ประชุม กสทช. ตามที่สภาผู้บริโภคร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติ กสทช. ในวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่มีผลทำให้เกิดการควบรวมกิจการระหว่างค่ายมือถือ ทรูและดีแทค ผลการพิพากษายืนยันว่าการควบรวมธุรกิจถูกต้องกฎหมายนั้น สภาผู้บริโภคยืนยันว่าคดียังไม่ถึงที่สุด และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยการเตรียมยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อศาลปกครองสูงสุด
ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความผู้รับผิดชอบคดีนี้ของสภาผู้บริโภค วิเคราะห์คำพิพากษาของศาลปกครองที่มี 2 ประเด็นใหญ่ ประเด็นแรก ศาลได้วินิจฉัยยืนยันว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคมีสิทธิและอำนาจฟ้องคดีในฐานะผู้แทนบริโภคที่อาจได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการควบรวมธุรกิจครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการรับรองสิทธิของผู้บริโภคในการต่อสู้ทางกฎหมาย
สำหรับประเด็นที่สองศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่ามติของคณะกรรมการ กสทช. เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่มีการ “รับทราบ” ควบรวม ทรู-ดีแทค เป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลให้เหตุผลในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง
ประการแรก การลงมติกสทช.ชี้ขาดเพื่อพิจารณาว่าการรวมบริษัท ทรู กับ ดีแทค เป็นการรวมธุรกิจประเภทเดียวกันหรือไม่ ต้องใช้ “มติพิเศษ” ซึ่งการประชุมเพื่อพิจารณาในครั้งพิพาท มีคณะกรรมการ กสทช.เข้าร่วมประชุม 5 ท่าน โดย ความเห็นแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 2 ท่านเห็นว่าไม่เป็นการรวมธุรกิจประเภทเดียวกัน โดยมีท่านประธาน ออกเสียงไปแล้ว 1 เสียง และอีก 2 ท่านเห็นว่า เป็นการรวมธุรกิจประเภทเดียวกัน โดยมี 1 ท่านงดออกเสียง ซึ่งผลจากการลงมติในที่ประชุมจะเห็นได้ว่าความเห็นในแต่ละทางล้วนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง โดยหลักย่อมเป็นความเห็นที่สิ้นผลไปทั้งคู่ ไม่สามารถที่จะให้ประธานลงคะแนนชี้ขาดได้ต่อไปในการประชุมครั้งนั้นได้ ต้องกลับมาพิจารณาโดยการประชุมใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่ให้ประธานออกเสียงซ้ำเพื่อลงมติไปเลย
โดยในที่สุดผลของการประชุมครั้งพิพาทได้ข้อสรุปว่า “การรวมธุรกิจระหว่าง ทรู กับ ดีแทค นี้ไม่เป็นการรวมธุรกิจประเภทเดียวกันจึงไม่เข้าข้อ 8 ของ ประกาศ กทช.เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ที่ต้องขออนุญาตต่อทาง กสทช. จึงต้องไปพิจารณาประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม โดยกำหนดให้ กสทช. รับทราบการรวมธุรกิจ และให้ทาง กสทช.มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือมาตการเฉพาะกำกับผลของการรวมธุรกิจระหว่าง ทรู กับ ดีแทค” ซึ่งศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า การที่ประธานออกเสียงซ้ำอีก หนึ่งเสียง ถือว่าไม่ขัดต่อระเบียบ กสทช.ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. 2555 ข้อ 41 การออกเสียงเพิ่มอีก 1 เสียง หรือ “การยกมือเบิ้ล” ของประธานเพื่อชี้ขาดสามารถทำได้ ศาลมองว่าชอบด้วยระเบียบแล้ว และศาลปกครองกลางยังพิจารณาด้วยว่าการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมไม่จำเป็นต้องขออนุญาต กสทช.ทุกครั้งเสมอไป
ทางด้านคุณสมบัติที่ปรึกษาอิสระ ที่มีการโต้แย้งเรื่อง ความไม่เป็นกลางของบริษัทที่ปรึกษาอิสระว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกับบริษัท ทรู โดย ผลการวินิจฉัยของศาลปกครองกลางพิจารณาว่า บริษัทที่ปรึกษา ได้จัดทำความเห็นประกอบรายงานการรวมธุรกิจให้ กสทช. แล้ว จึงค่อยมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ดังนั้น ความสัมพันธ์ในทางธุรกิจจึงไม่ถือว่ามีผลทำให้เกิดความมีส่วนได้เสีย หรือมีอำนาจควบคุมกิจการของ 2 บริษัท การตั้งที่ปรึกษาชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการแต่งตั้งที่ปรึกษาเป็นเพียงขั้นตอนกระบวนการภายในของ กสทช. ทางสภาผู้บริโภคจึงยังไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่จะขอศาลเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระได้
ทางด้านดัชนีชี้วัดการกระจุกตัวในตลาด หรือ HHI หรือ โดยพบว่าการรวมธุรกิจ ทรู กับ ดีแทค ส่งผลให้ค่า HHI ในตลาดสูงขึ้น โดยศาลวินิจฉัยว่า การมีค่า HHI สูงขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถรวมธุรกิจได้ กสทช. ยังสามารถไปออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อใช้ในการควบคุมกำกับได้ รวมถึง ประเด็นการเวนคืนคลื่นความถี่ ที่เสนอว่าต้องมีการเวนคืนคลื่นก่อนลงมติเพราะมีการถือครองคลื่นมากกว่าเดิม โดยศาลวินิจฉัยว่า กรณีนี้ไม่จำเป็นและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการลงมติโดยตรง แต่ให้ไปกำหนดเป็น มาตรการแยกต่างหาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กสทช. ต่อไป และศาลยังพิจารณาด้วยว่า มติดังกล่าวตลอดจนการกำหนดเงื่อนไขหรือมาตการเฉพาะกำกับผลของการรวมธุรกิจระหว่าง ทรู กับ ดีแทค ไม่ขัดต่อหลักการป้องกันไว้ก่อน และมองว่าการดำเนินการของ กสทช.จากมติ “รับทราบการรวมธุรกิจ” ได้สัดส่วนแล้ว
ดร.วศิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษา ศาลมองว่ามติ กสทช. เป็นเพียง “การรับทราบ” แต่กลับส่งผลเหมือนเป็นการ “อนุญาตโดยปริยาย” ถือเป็นประเด็นที่ต้องหยิบยกสู้ต่อกันในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
“แม้ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่คดียังไม่ถึงที่สุด เรายืนยันที่จะอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อให้สังคมเห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ว่ากฎหมายโทรคมนาคมและอำนาจของ กสทช. ต้องได้รับการปรับปรุง ไม่ให้เปิดช่องให้การผูกขาดเกิดขึ้นและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค” ดร. วศินกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง