Ribbon

เร่ง กสทช. ออกแนวปฏิบัติ ซิมบ็อกซ์มี 4 ซิม ต้องมีใบอนุญาต หวั่นช่องโหว่ลวงผู้บริโภค

เร่ง กสทช. ออกแนวปฏิบัติ ซิมบ็อกซ์มี 4 ซิม ต้องมีใบอนุญาต หวั่นช่องโหว่ลวงผู้บริโภค

ปัญหามิจฉาชีพหรือสแกมเมอร์ (Scammer) ยังคงเป็นภัยใกล้ตัวของผู้บริโภคไทย โทรศัพท์หนึ่งสายหรือลิงก์ปลอมลิงก์เดียวอาจทำให้สูญเงินทั้งบัญชี ขณะที่ช่องทางการสื่อสารในระบบโทรคมนาคมยังมีช่องว่างที่เปิดโอกาสให้มิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาได้ ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกประกาศ กสทช. ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม และกำหนดให้ผู้ครอบครองอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ตั้งแต่ 4 ซิมขึ้นไป ต้องมีใบอนุญาต อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตได้ว่าการดำเนินการตามประกาศ กสทช. ในครั้งนี้ที่ยังขาดแนวทางปฏิบัติอย่างชัดเจน อาจเปิดช่องว่างทางระบบโทรคมนาคมให้มิจฉาชีพมาหลอกลวงผู้บริโภคได้

สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค ระบุว่า การออกประกาศฉบับดังกล่าวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับมาตรการป้องกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่มีหลายประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการให้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้สแกมเมอร์อาศัยช่องว่างทางระบบโทรคมนาคมมาหลอกลวงผู้บริโภคได้ โดยหนึ่งในข้อสังเกตสำคัญคือ ความล่าช้าในการออกแนวปฏิบัติของ กสทช. หลังประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว แต่ยังไม่มีการประกาศแนวทางปฏิบัติให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมถือปฏิบัติอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในการนำมาตรการไปใช้จริง ขณะเดียวกันการกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ให้บริการยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นการลงทะเบียนผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต ที่ยังพบปัญหาการนำบัตรประชาชนไปใช้เปิดเบอร์โทรศัพท์โดยเจ้าของไม่รู้ตัว จึงกลายเป็นช่องทางสำคัญที่มิจฉาชีพใช้ในการก่ออาชญากรรม

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคได้ทำหนังสือส่งถึง กสทช. เพื่อให้ข้อสังเกตดังกล่าว และสภาผู้บริโภคยังเสนอให้ กสทช. ทบทวนแนวทางการกำกับดูแลของระบบส่งข้อความอัตโนมัติ (Application-to-Person: A2P) ที่มีมาตรการกำหนดชื่อผู้ส่ง (Sender Name) แล้ว แต่ยังพบการส่งข้อความหลอกลวงจากหมายเลขปลอมจำนวนมาก เนื่องจากแนวทางปฏิบัติยังไม่ครอบคลุมทุกผู้ให้บริการ อีกทั้งยังมีช่องโหว่จากการใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายโทรศัพท์ หรือ ซิมบ๊อกซ์-เกตเวย์ (SIM Box หรือ Gateway) ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มมิจฉาชีพสามารถโทรศัพท์หรือส่งข้อความจากต่างประเทศเข้ามาผ่านระบบในประเทศได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของการหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

สำหรับภาพรวมปัญหาสแกมเมอร์มีความรุนแรงขึ้น ซึ่งข้อมูลจากศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มีรายงานว่าคดีออนไลน์มีความเสียหายสะสม ตั้งแต่ต้นปีเดือนมกราคมจนถึงเดือน ต.ค. 2568 มีจำนวนรวม 275,148 เรื่อง และสร้างมูลค่าความเสียหายถึง 24,598 ล้านบาท และมีเฉลี่ยคดีประมาณ 910 เรื่องต่อวัน สะท้อนถึงภัยอาชญากรรมที่มีความรุนแรงต่อเนื่อง

“ปัญหาสแกมเมอร์ที่แพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่ามาตรการที่มีอยู่ยังไม่สามารถปกป้องผู้บริโภคได้เพียงพอ การป้องกันภัยสแกมเมอร์ไม่ควรจำกัดอยู่แค่การออกประกาศเท่านั้น แต่ต้องมีแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวด โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้จริง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยในการใช้บริการโทรคมนาคมอย่างแท้จริง” สุภิญญา กล่าว

สุภิญญา ระบุทิ้งท้ายว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้ร่วมลงนามใน “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์” (United Nations Convention against Cybercrime) ณ ประเทศเวียดนาม ร่วมกับอีก 68 ประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการร่วมมือกับประชาคมโลก เพื่อกำหนดแนวทางป้องกันและเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับมือภัยไซเบอร์อย่างเป็นระบบ และร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเน้นย้ำว่าการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และภาคประชาชน โดยเฉพาะในยุคที่ภัยสแกมเมอร์มีรูปแบบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการมีกลไกที่ชัดเจนและทันสมัยเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับระบบโทรคมนาคมของประเทศ