ข้อเสนอมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค เรื่อง มาตรการจัดการปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน
สถานการณ์
สถานการณ์ปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน มิจฉาชีพหรือผู้หลอกลวงมีรูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลายและพัฒนารูปแบบการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง เช่น หลอกลวงซื้อขายสินค้าที่ไม่ได้สินค้าหรือได้สินค้าไม่ตรงตามที่ต้องการซื้อ หลอกลวงให้โอนเงิน หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน หลอกลวงให้ลงทุน หลอกลวงทางโทรศัพท์ให้โอนเงินโดยทำเป็นขบวนการ (call center) การเปิดบริการเงินกู้ออนไลน์แต่เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา ซึ่งเป็นปัญหาที่มีผู้บริโภคได้รับผลกระทบและสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และผู้หลอกลวงได้โอนทรัพย์สินที่ได้จากการหลอกลวงผ่านบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของบุคคลอื่นต่อไปเป็นทอด ๆ อย่างรวดเร็ว โดยในปี 2565 ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจแห่งชาติพบว่า มีผู้แจ้งความทางออนไลน์เกี่ยวกับมิจฉาชีพหลอกลวงกว่า 140,000 คดี และมีมูลค่าความเสียหายกว่า 66,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ในปี 2566 คณะรัฐมนตรีได้ออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 เพื่อป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน แต่สภาองค์กรของผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายนี้กำหนดไม่สามารถใช้บังคับได้จริง กล่าวคือ ธนาคารบางแห่งเมื่อผู้เสียหายได้แจ้งเหตุความเสียหายที่เกิดจากภัยทุจริตทางการเงินเพื่อให้พนักงานธนาคารระงับธุรกรรมทางการเงินชั่วคราวและแจ้งข้อมูลปัญหาไปยังธนาคารอื่นที่อาจจะมีการโอนเงิน แต่พนักงานธนาคารกลับไม่ยอมดำเนินการในทันที และให้ผู้เสียหายเจ้าของบัญชีต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก่อนภายใน 72 ชั่วโมงจึงจะทำการระงับธุรกรรมทางการเงินชั่วคราว ทำให้เกิดความล่าช้าในการสะกัดกั้นมิจฉาชีพในการโอนเงินไปยังบัญชีม้าอื่นๆ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของธนาคารให้ระงับธุรกรรมทางการไว้ชั่วคราวได้ทันทีเมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าของบัญชีที่เป็นผู้เสียหายโดยตรง
การดำเนินงาน
สภาผู้บริโภคได้จัดเวทีความร่วมมือแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อติดตามการบังคับใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ตลอดจนพัฒนาความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรของผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งสภาผู้บริโภคได้รวบรวมข้อมูลข้อคิดเห็นทั้งหมดจากเวทีดังกล่าว และจัดทำข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ข้อเสนอของสภาองค์กรของผู้บริโภค
1. ธนาคารแห่งประเทศไทย ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1.1 ขอให้ติดตามการทำหน้าที่สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจให้เป็นไปตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และให้มีมาตรการลงโทษสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจหากไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ก. ที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริโภค ตลอดจนให้มีมาตรการรับผิดชอบเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น
1.2 ขอให้กำหนดหลักเกณฑ์การชดเชยเยียวยาความสียหายแก่ผู้บริโภคเต็มจำนวน หากภัยทุจริตทางการเงินนั้นไม่ได้เกิดจากผู้บริโภค ได้แก่ ผู้บริโภคถูกแฮกโอนเงิน ผู้บริโภคถูกหลอกโอนเงิน ผู้บริโภคถูกโอนเงินจากบัญชีฝากประจำ
1.3 ขอให้ออกหลักเกณฑ์ควบคุมการโอนเงินระหว่างประเทศโดยกำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำ ในการโอนเงิน
1.4 ขอให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเปิดบัญชีเงินผ่านร้านสะดวกซื้อและบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ให้เข้มงวด เพื่อป้องกันการเปิดบัญชีทำธุรกรรมทางการเงินที่ไม่สุจริต (บัญชีม้า)
1.5 ขอให้ออกหลักเกณฑ์กำหนดให้บุคคลมีบัญชีเงินฝากไม่เกิน 5 บัญชี
1.6 ขอให้กำหนดหลักเกณฑ์ให้สถาบันการเงินตั้งกองทุน หรือทำหลักประกันคุ้มครอง ความเสียหายในการฝากเงินกับสถาบันการเงินกรณีเกิดภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ในการดูแลรักษาเงินของผู้บริโภคและสามารถเยียวยาความเสียหายของผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้นทันที
1.7 ขอให้จัดให้มีเบอร์โทรสายด่วนแจ้งเหตุภัยทุจริตทางการเงินหมายเลขเดียว แจ้งได้ทุก ธนาคาร และให้มีศูนย์อำนวยการในการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินร่วมกันโดยมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารแต่ละธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจในการสั่งการแก้ไขปัญหาและระงับการทำธุรกรรมทางการเงินภายในเวลาไม่เกิน 3 นาที หลังจากผู้บริโภคแจ้งเหตุภัยทุจริตทางการเงินตลอดจนติดตามเงินคืนให้แก่ผู้บริโภค
1.8 ขอให้มีระบบการแจ้งเตือนหมายเลขบัญชีที่ต้องสงสัยที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด (Hight Risk) ให้แก่ผู้บริโภคทราบก่อนการโอนเงิน เพื่อป้องกันการโอนเงินไปยังบัญชีที่ต้องสงสัย
2. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลพิจารณดำเนินการ ดังนี้
2.1 ขอให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการในการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน และมีเบอร์โทรสายด่วนเบอร์เดียว เช่นเดียวกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 (ศบค.) เพื่อจัดการปัญหาภัยทุจริตทางการเงินได้อย่างเบ็ดเสร็จทันท่วงที
2.2 ขอให้แต่งตั้งผู้แทนสภาองค์กรของผู้บริโภคเป็นกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรา 13 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อให้ความเห็นในฐานะผู้แทนผู้บริโภคกำหนดแนวทางในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
3. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลผู้ให้บริการโทรคมนาคมดำเนินการ ดังนี้ 3.1 ขอให้ออกหลักเกณฑ์ควบคุมและจำกัดการเปิดใช้ซิมโทรศัพท์เคลื่อนที่หนึ่งหมายเลข ต่อหนึ่งบัตรประชาชน หากมีการเปิดใช้ซิมมากกว่าหนึ่งหมายเลข ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ในการเปิดใช้แยกบัญชีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล 3.2 ขอให้มีมาตรการกำหนดให้ค่ายมือถือ (operator) ต้องรายงานรายชื่อหมายเลข โทรศัพท์ต้องสงสัยมายังกสทช. และให้กสทช. ตรวจรายชื่อผู้เปิดใช้บริการโทรศัพท์ เพื่อขึ้นบัญชีดำ ผู้ต้องเฝ้าระวังในการเปิดใช้บริการเป็นมิจฉาชีพ 3.3 ขอให้มีมาตรการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาต(operator) มีส่วนรับผิดชอบและเปรียบเทียบปรับสูงสุด หากมีการส่งข้อความสั้น (SMS) แบบไม่ระบุแหล่งต้นตอการส่งข้อความ
4. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดำเนินคดีกับมิจฉาชีพในความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยอัตราโทษสูงสุด และติดตามเงินคืนให้แก่ผู้บริโภคโดยเร็ว
5. กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษติดตามดำเนินคดีกับการลักลอบใช้ข้อมูลส่วนบุคคลจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน
6. สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ดำเนินการ ดังนี้
6.1 ขอให้สถาบันการเงินเปิดเผยบัญชีมิจฉาชีพ (บัญชีม้า) และบัญชีแบล็คลิสให้ผู้บริโภคทราบ และมีระบบการแจ้งเตือนหมายเลขบัญชีที่ต้องสงสัยที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด (Hight Risk) เพื่อแจ้งเตือนก่อนจะมีการโอนเงินไปยังบัญชีมิจฉาชีพเหล่านั้น
6.2 ขอให้วางแนวปฏิบัติและกำชับให้พนักงานของธนาคารปฏิบัติหน้าที่ตามพระราช กำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 กำหนดไว้อย่าง เคร่งครัดตามมาตรา 7 โดยดำเนินการระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ชั่วคราว พร้อมทั้งนำข้อมูลเข้าสู่ ระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรา 4 เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ ประกอบธุรกิจผู้รับโอนทุกทอดทราบและระงับการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ทันที เพื่อไม่ให้เกิดเสีย ความเสียหายต่อผู้บริโภค
6.3 ขอให้กำหนดหลักเกณฑ์ให้สถาบันการเงินตั้งกองทุน หรือทำหลักประกันคุ้มครอง ความเสียหายในการฝากเงินกับสถาบันการเงินกรณีเกิดภัยทุจริตทางการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ในการดูแลรักษาเงินของผู้บริโภคและสามารถเยียวยาความเสียหายของผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้นทันที
ความคืบหน้า
อยู่ระหว่างการติดตามข้อเสนอแนะ