Ribbon

อย. เพิกถอน ‘ยา-เก็ท 30’ เจอ สมุนไพร ปลอมปนซ้ำซาก ผู้บริโภคเสี่ยงอันตราย

อย. เพิกถอน ‘ยา-เก็ท 30’ เจอสมุนไพรปลอมปนซ้ำซาก ผู้บริโภคเสี่ยงอันตราย

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับผลิตภัณฑ์ สมุนไพร “ยา-เก็ท 30” (YA-GET 30) เลขทะเบียน G 398/48 หลังตรวจพบการลักลอบผสมยาแผนปัจจุบันที่เป็นอันตรายและผิดกฎหมาย สภาผู้บริโภคระบุว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาการปลอมปนสารอันตรายที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในตลาดสมุนไพรไทย และต้องเร่งพัฒนาระบบป้องกันอย่างจริงจัง

สำหรับผลการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา-เก็ท 30 พบการปนเปื้อนของยาแผนปัจจุบัน 2 ชนิด ได้แก่ ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) และ วาร์เดนาฟิล (Vardenafil) ซึ่งทั้งคู่จัดเป็น ยาควบคุมพิเศษ ที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น การบริโภคโดยไม่อยู่ในความควบคุมทางการแพทย์อาจก่ออันตรายร้ายแรงถึงชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคระบบหลอดเลือด

สมุนไพร ปลอมปนเป็นปัญหาซ้ำซาก

มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า กรณีการเพิกถอนผลิตภัณฑ์ “ยา-เก็ท 30” เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของปัญหาการลักลอบปลอมปนยาแผนปัจจุบันในผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่นานมานี้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง ได้ถูกเพิกถอนทะเบียน เนื่องจากพบสารทาดาลาฟิล (Tadalafil) ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษ หรือกรณีผลิตภัณฑ์สมุนไพร 3 ยี่ห้อ เซินโจวเจียวหนัง ยาแคปซูล เอสบี และยาอี้ทง ที่ถูกเรียกคืนจากท้องตลาดไปก่อนหน้านี้ หลังตรวจพบสารอันตราย

ข้อมูลการแจ้งเตือนภัยจาก อย. และสภาผู้บริโภค ยังคงสะท้อนว่า ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่จำหน่ายในท้องตลาดจำนวนมากยังคงพบการปลอมปนยาอันตราย เช่น ซิลเดนาฟิล, วาร์เดนาฟิล, ทาดาลาฟิล รวมถึงสารสเตียรอยด์ การปลอมปนเหล่านี้ไม่ได้มีแค่การทำให้ผู้บริโภคได้รับยาเกินขนาดหรือขาดการควบคุมจากแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพโดยรวมด้วย

แม้จะมีการเตือนภัยและเรียกคืนหลายครั้ง แต่หากยังไม่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับหลังวางจำหน่าย (Post-Marketing) รวมถึงการขึ้นแบล็กลิสต์ผู้ผลิต–ผู้จำหน่ายที่ฝ่าฝืน ก็ทำให้สินค้าผิดกฎหมายยังคงปรากฏบนท้องตลาดและแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเหล่านี้ถูกเตือนภัยและเรียกคืน เพราะที่ผ่านมา อย. มีการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่ลักลอบผสมสารอันตราย และการโฆษณาเกินจริงมาตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการแพร่กระจายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้นั้น” มลฤดีกล่าว

เร่งบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น

ทั้งนี้ การที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงปรากฏและมีจำหน่ายบนโลกออนไลน์ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมาย แต่หากหน่วยงานกำกับดูแลบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง คาดว่าจะช่วยลดปัญหาผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายในท้องตลาดและในออนไลน์ได้

ด้วยเหตุนี้ สภาผู้บริโภคได้เสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 แต่ยังอยู่ในวาระการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับการโฆษณาเกินจริง และการควบคุมโฆษณาสินค้าออนไลน์ เพื่อป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดปัญหาการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงที่อาจส่งผลเสียต่อสังคมและผู้บริโภคได้อีก

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภค เคยมีข้อเสนอต่อ อย. และแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อยกระดับมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคที่การซื้อขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในออนไลน์ มีความเสี่ยงโฆษณาเกินจริงที่ยังพบได้ต่อเนื่อง โดย เรียกร้องให้ อย. เร่งดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ API กับแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมดำเนินการประเด็นสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่

1.แสดงเลข อย. ให้ตรวจสอบได้จริง – สินค้าประเภทอาหาร ยา เครื่องสำอาง และสมุนไพรทุกชนิดที่วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม ต้องแสดงเลข อย. อย่างชัดเจน และเมื่อระบบเชื่อมต่อ API แล้ว ต้องสามารถตรวจสอบความถูกต้องของเลข อย. ได้แบบเรียลไทม์

2.ใช้ AI ตรวจโฆษณา – เสนอให้ อย. พัฒนาและใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการตรวจสอบข้อความโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อสกัดโฆษณาหลอกลวงและโอ้อวดเกินจริง ซึ่งเป็นภัยซ่อนเร้นต่อผู้บริโภค

3.ประกาศเตือนผ่านแบนเนอร์ – หากมีผลิตภัณฑ์ที่ อย. ประกาศว่าเป็นสินค้าผิดกฎหมายหรือถูกยกเลิกการอนุญาตแล้ว ควรมีแบนเนอร์เตือนบนหน้าแพลตฟอร์ม พร้อมลิงก์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ อย. เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก รวดเร็ว และตัดสินใจได้อย่างปลอดภัย

หากผู้บริโภคได้รับปัญหาด้านสุขภาพจากอาหาร ยา หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สามารถติดต่อไปที่สายด่วนของ อย. ที่เบอร์ 1556 และหากที่ไม่รับความเป็นธรรมหรือหากไม่มีความคืบหน้า สามารถร้องเรียนมาที่สภาผู้บริโภค ได้ที่เบอร์ 1502 หรือช่องทางออนไลน์ https://complaint.tcc.or.th/complaint

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง