
“กับดักเหยื่อมิจฉาชีพ” ยุคใหม่ ใช้ความกลัว เรื่องอารมณ์ ความรวดเร็ว ทำให้คนไทยตกเป็นเหยื่อ สภาผู้บริโภคเร่งผลักดันมาตรการ ‘หน่วงเงิน – รู้จักตัวตนคนขาย’ อุดช่องโหว่ระบบการเงิน
ผู้บริโภคอาจมีความคุ้นชินกับข่าวคนถูกหลอกออนไลน์ที่มีการรายงานแทบทุกวัน แต่งานเสวนาสร้างภูมิคุ้มกันคนไทยจากภัยการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทยในงาน BOT Symposium 2025 ทำให้เห็นชัดว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเดิม ๆ ที่คนไม่ระวัง แต่เป็นภัยการเงินที่พัฒนาความซับซ้อนเร็วยิ่งกว่าเทคโนโลยีที่ทุกคนใช้ในชีวิตประจำวัน โดยข้อมูลจากการเสวนาชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2565 มีการแจ้งความคดีออนไลน์ในไทยมากกว่า 1 ล้านคดี และสร้างความเสียหายรวมกว่า 9.8 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่นับผู้เสียหายอีกกว่า 80% ที่ไม่แจ้งความ ทำให้ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้หลายเท่า
ช่องโหว่ที่ทำให้มิจฉาชีพหลอกลวงอย่างต่อเนื่องไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือของสแกมเมอร์เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการจับจุดอ่อนทางอารมณ์และพฤติกรรมของคนได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น รูปแบบภัยการเงินเปลี่ยนจากการใช้แอปฯ ดูดเงิน ซึ่งปัจจุบันพอจะปิดช่องโหว่ได้แล้ว ปรับสู่เป็นการหลอกให้โอนเงินด้วยตัวเอง (Authorized Payment Fraud) ผ่านการอาศัยแรงกดดันทางอารมณ์เพื่อให้เหยื่อตัดสินใจเร็วเกินไป ตามที่ทีมวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า การตกเป็นเหยื่อไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ การศึกษา หรืออาชีพ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเจอมิจฉาชีพที่มาได้ถูกเวลา ถูกจริตหรือไม่
ผลสำรวจจาก รศ. ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค นำเสนอยิ่งน่าตกใจขึ้นไปอีก โดยพบว่า 73% ของคนไทยเคยถูกมิจฉาชีพเข้าถึง และเกือบครึ่งหนึ่ง 47% กลายเป็นผู้เสียหายจริง ที่สำคัญคือผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ตัวเงิน แต่ขยายวงไปสู่ความเชื่อมั่นในโลกดิจิทัลที่ลดลง เช่น 23% เลิกใช้ออนไลน์ไปทันที และอีก 11% เลิกใช้แอปฯ การเงินทั้งหมด ผลกระทบเหล่านี้คือต้นทุนแฝงที่สังคมไทยต้องจ่ายอย่างเงียบ ๆ และสูงขึ้นทุกปี
หนึ่งในกรณีศึกษาคือเรื่องของ ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ที่ถูกหลอกผ่านแอปฯ กรมที่ดินปลอม ชื่อ “Smart Land” ซึ่งหน้าตาเหมือนแอปฯ จริง โดยคนร้ายใช้ข้อมูล เช่น เลขโฉนด ที่อยู่ และชื่อเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นการตรวจสอบจากรัฐ ถูกเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงจริงจังจนไม่มีเวลาไตร่ตรอง ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนว่า มิจฉาชีพไม่ได้โจมตีที่เทคโนโลยีของทุกคน แต่ใช้การโจมตีที่ความกลัว ความกังวล และสัญชาตญาณอยากแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด
พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ รองโฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 (บก.สอท.2) อธิบายว่าเบื้องหลังอาชญากรรมออนไลน์ปัจจุบันทำงานเป็นสายพานอุตสาหกรรมที่เร็วและเป็นระบบ เงินที่หลุดจากบัญชีเหยื่อจะถูกส่งต่อไปยังบัญชีม้าหลายทอดภายในไม่กี่นาที โดยมีทั้งคนที่ยอมเปิดบัญชีเพื่อแลกเงินหลักร้อยหรือหลักพัน ไปจนถึงผู้ถูกหลอกให้เปิดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งราคาของบัญชีม้ายังปรับขึ้นลงตามความต้องการในตลาดมืด
ขณะเดียวกันมิจฉาชีพไม่ได้ใช้รูปแบบการหลอกลวงแบบเดิม ๆ แต่ยกระดับเครื่องมือ เช่น ใช้เอไอเลียนเสียงคนในครอบครัวโทรมาหลอกผู้สูงอายุ (AI Voice Cloning) หรือใช้เทคโนโลยีดีปเฟค (Deepfake) ที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จริงจนสร้างแรงกดดันทางอารมณ์อย่างเฉียบพลัน เมื่อจับคู่กับเทคนิคที่ออกแบบมาเพื่อทำให้เหยื่อ ไม่มีเวลาคิด ผ่านกลไก 3 อย่างคือ ความกลัว ความโลภ และความหลงในความน่าเชื่อถือ ทำให้เหยื่อจำนวนมากยอมโอนเงินด้วยตัวเองโดยไม่ได้ตั้งข้อสงสัย
ทั้งนี้เบื้องหลังความหลอกลวงแบบเสมือนจริง คือองค์กรอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกจัดโครงสร้างเหมือนบริษัทจริง มีฝ่ายเทคโนโลยีคอยปลอมเบอร์ผ่านระบบการสื่อสารทางเสียงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (VoIP) มีฝ่ายฝึกอบรมที่ล้างสมองพนักงานให้มองการหลอกลวงเป็นเพียงงานหารายได้ และมีทีมสนับสนุนที่เก็บข้อมูลเหยื่อเป็นฐานใหญ่เพื่อเลือกโจมตีตามจุดอ่อนของแต่ละคน
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอย่างเครื่องส่งสัญญาหลอกหรือปลอม (Fake Base Station) ที่ส่งข้อความ (SMS) ปลอมมาในชื่อหน่วยงานรัฐ รวมถึงมีการจ้างคนไทยขับรถตระเวนพร้อมอุปกรณ์เพื่อหลบเลี่ยงการจับกุม ทำให้ตำรวจต้องทำงานแข่งกับความเร็วของเทคโนโลยี แม้จะปิดบัญชีปลายทางได้จำนวนมาก แต่เส้นทางเงินที่กระจายตัวรวดเร็ว ดังนั้น การป้องกันตั้งแต่ต้นทางจึงสำคัญยิ่งกว่าการไล่ตามหลังเกิดเหตุ เพราะเมื่อเงินหลุดมือไปเพียงไม่กี่วินาที โอกาสได้คืนแทบเป็นศูนย์
ด้าน ตฤณห์ โพธิ์รักษา อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศาสตร์ และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายกลไกที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งว่า เมื่อสมองถูกกระตุ้นด้วย “ความกลัว – ความโลภ – ความเร่งด่วน” สมองส่วนเหตุผลจะทำงานช้ากว่าส่วนอารมณ์เสมอ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนรอบคอบยังตกเป็นเหยื่อได้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมเพียงแค่ชะลอ 45 – 60 นาที ก็สามารถช่วยให้เราดึงสติกลับมาก่อนจะถูกหลอกได้ นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังใช้ความเชื่อในอำนาจของรัฐ (Authority Bias) ทำให้เหยื่อหลงเชื่อว่าคนที่โทรมาเป็นเจ้าหน้าที่จริง ซึ่งความจริงแล้วเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกต้องจะไม่มีการให้โอนเงินหรือให้ทำธุรกรรมใด ๆ อย่างเด็ดขาด
จากภาพทั้งหมด สะท้อนว่าภัยการเงินออนไลน์ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บริโภคจะแก้ได้ด้วยตัวเองอีกต่อไป เนื่องจากระบบมีช่องโหว่ที่มิจฉาชีพใช้ได้อยู่มาก สภาผู้บริโภคจึงเสนอหลายมาตรการที่มุ่งปิดช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นทาง เช่น มาตรการ “หน่วงเงินก่อนโอน” เพื่อกันไม่ให้เงินไหลออกหลายทอดในไม่กี่วินาที ช่วยเพิ่มโอกาสอายัดเงินให้ผู้เสียหาย มาตรการ “เปิดก่อนจ่าย” เพื่อป้องกันปัญหาซื้อสินค้าออนไลน์แล้วไม่ได้ของ ซึ่งเป็นเคสที่เกิดขึ้นมากที่สุด และมาตรการ “รู้จักตัวตนคนขาย” ซึ่งเป็นมาตรการล่าสุดที่เน้นความโปร่งใสของผู้ขาย โดยให้แพลตฟอร์มต้องแสดงข้อมูลผู้ขายที่ตรวจสอบได้ เพื่อไม่ให้ร้านผีหรือบัญชีปลอมใช้ช่องว่างตลาดออนไลน์ในการหลอกผู้บริโภค
นอกจากการปกป้องรายบุคคลแล้ว มาตรการเหล่านี้ยังช่วยให้ระบบโดยรวมมีโครงสร้างป้องกันที่แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการหมุนเงินของมิจฉาชีพ และเพิ่มประสิทธิภาพติดตามเส้นทางเงินผิดปกติ สอดคล้องกับข้อเสนอจากเวทีเสวนาที่ชี้ว่า ประเทศที่รับมือกับปัญหานี้ได้ดีต้องใช้แนวคิดทั้งระบบ คือใช้หลายมาตรการพร้อมกัน ทั้งการป้องกัน การจับกุม การเฝ้าสังเกตข้อมูล และการสื่อสารสาธารณะที่สม่ำเสมอ
สำหรับจุดร่วมสำคัญจึงชัดเจนว่า หากต้องการหยุดอาชญากรรมออนไลน์ เราต้องพัฒนาเกราะป้องกันให้เร็วและฉลาดเท่ากับที่มิจฉาชีพพัฒนาวิธีหลอก ไม่ใช่ปล่อยให้สังคมวิ่งตามปัญหาอยู่เสมอ ข้อเสนอเชิงนโยบายจากสภาผู้บริโภคจึงเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ต้องเดินควบคู่กับการสร้างความรู้เท่าทัน เพราะเมื่อระบบดีขึ้น ผู้บริโภคมีข้อมูลครบขึ้น และทุกฝ่ายทำงานเชื่อมกันได้มากขึ้น โอกาสที่เงินจะหลุดลอยไปโดยไม่รู้ตัวก็จะลดลงอย่างเป็นรูปธรรม
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



