
ไทยถูกใช้เป็นฐานสแกมเมอร์ข้ามชาติหลายประเทศ กฎหมายยังปิดจุดอ่อนไม่ได้ สภาผู้บริโภคเตือนรัฐเร่งยกระดับกฎหมาย
ประเทศไทยกำลังเผชิญอาชญากรรมไซเบอร์ครั้งใหญ่ จากการที่มีกลุ่มสแกมเมอร์ระดับโลกต่างใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการและแหล่งกบดาน หรือการใช้เป็นฐานฟอกเงิน โดยความเสียหายไม่เพียงเกิดกับคนไทย แต่กระทบผู้บริโภคทั่วโลก
น่าห่วงเมื่อไทยกลายเป็นฐานสแกมเมอร์
ประเทศไทยกำลังเผชิญการขยายตัวของอาชญากรรมไซเบอร์อยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างมาก และสแกมเมอร์ได้ยกระดับสู่อุตสาหกรรมแล้ว รวมถึงยังมีเครือข่ายสแกมเมอร์และทุนสีเทาจากหลายประเทศเลือกใช้ไทยเป็นทั้ง จุดปฏิบัติการ แหล่งซ่อนตัว และพื้นที่หมุนเวียนเงินผิดกฎหมาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงกระทบผู้บริโภคในประเทศ แต่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดนที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลก
ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย ได้ตรวจพบสแกมเมอร์จากหลายสัญชาติ เช่น จีน กัมพูชา เกาหลีใต้ เมียนมา และไต้หวัน ที่เข้ามาตัวในไทย ล่าสุดมีการจับกุมเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ชาวเกาหลีใต้และจีนรวม 17 คน ซึ่งหลอกให้เหยื่อร่วมลงทุนในแชร์ลูกโซ่ภายใต้ชื่อรีสอร์ตชื่อดัง และโทรข่มขู่โดยปลอมตัวเป็นอัยการและเจ้าหน้าที่ธนาคารเกาหลีใต้ ความเสียหายเฉพาะคดีนี้สูงกว่า 500 ล้านบาททั้งหมดสะท้อนว่าประเทศไทยยังถูกใช้เป็นจุดเชื่อมต่อเครือข่ายหลอกลวงระดับภูมิภาค
ทุนจีนเทา ราชาสแกมเมอร์ เครือข่ายระดับภูมิภาคที่โยงหลายประเทศ
รายงานสืบสวนฉายภาพเครือข่ายทุนจีนเทา หรือที่สื่อบางแห่งเรียกว่า “ราชาสแกมเมอร์” ซึ่งเชื่อมโยงกับ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) จาก ปริ๊นซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป องค์กรที่มีความเกี่ยวพันทางธุรกิจในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น กัมพูชา ไทย และอังกฤษ
ขณะเดียวกันหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้เริ่มดำเนินการตรวจเส้นทางการเงินและยึดทรัพย์เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยประเมินว่าความเสียหายจากการฉ้อโกงออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มนี้สูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับประเทศไทยมีการตรวจสอบพบว่า เครือข่ายยังขยายการลงทุนผ่านบริษัทอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยี รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนผิดปกติ จึงเกิดความกังวลว่าประเทศไทยอาจถูกใช้เป็น สถานที่ฟอกเงินและศูนย์เชื่อมกิจกรรมทางอาชญากรรม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหตุผลที่ไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของขบวนการสแกมเมอร์
1. มิจฉาชีพต่างชาติแห่เข้าไทยหลังประเทศเพื่อนบ้านเข้มงวดปราบปราม
จากกรณีที่ประเทศจีนและเมียนมาเร่งกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ชโวก๊กโก และเมียวดี กลุ่มอาชญากรจำนวนมากหลบหนีเข้ามาในไทยเพื่อใช้เป็นพื้นที่พักตัว เขตหลบเลี่ยงการจับกุม หรือฐานชั่วคราวก่อนย้ายต่อ รวมถึงการมีแนวพรมแดนไทยที่กว้างและตรวจสอบได้ยาก ทำให้เป็นช่องทางที่เครือข่ายผิดกฎหมายใช้ลักลอบเข้าเมืองได้ง่าย
2. ไทยถูกใช้เป็น “สำนักงานใหญ่” แอบแฝงของคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
จากการบุกค้นหลายจุด พบว่ากลุ่มอาชญากรไม่ได้เพียงเข้ามาหลบซ่อน แต่ตั้ง สำนักงานทำงานจริง ในไทย ตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมระดับหรูในพัทยา และห้องชุดในย่านพระราม 3 ลุมพินี โดยภายในมีอุปกรณ์ครบชุด เช่น เซิร์ฟเวอร์, อินเทอร์เน็ตเฉพาะกิจ, โทรศัพท์ VoIP, สคริปต์หลอกเหยื่อ และบัญชีม้า ทั้งหมดชี้ว่าประเทศไทยถูกรับเลือกให้เป็น ศูนย์ควบคุมการหลอกลวงออนไลน์ระดับนานาชาติ
3. จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กลับเป็นช่องโหว่ที่สำคัญ
ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เสถียรภาพ การมีระบบพลังงานไฟฟ้าต่อเนื่อง การมีศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์คุณภาพสูง รวมถึงการตัดสินใจเช่าที่พักและเปิดสำนักงานในประเทศทำได้ง่าย โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้มิจฉาชีพบางส่วนตัดสินใจเข้ามาตั้งระบบควบคุม ประสานงาน และฟอกเงินผ่านธุรกรรมดิจิทัล
4. มีข้อกล่าวหาความพยายามแทรกแซงโครงสร้างการเงินดิจิทัลไทย
ทั้งนี้มีเอกสารที่ระบุว่าทุนสีเทาบางส่วนอาจพยายามเข้าถึงข้อมูลหรือมีบทบาทในการกำหนดทิศทางกฎหมายการเงินดิจิทัล การเข้าไปลงทุนในธุรกิจสำคัญเพื่อแทรกซึมโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ โดยเป็นข้อกล่าวหา แต่สะท้อนความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
กฎหมายไทยมีช่องโหว่ รับมือได้ไม่ทันท่วงที
ทั้งนี้ จากช่องโหว่ที่เกิดขึ้นทำให้ไทยถูกใช้เป็นพื้นที่ทำงานอย่างต่อเนื่องและการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบยังดำเนินการได้อย่างล่าช้า รวมถึงสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคและเครือข่าย 360 องค์กรจาก 59 จังหวัด เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกำหนดมาตรการเชิงรุก ประกอบด้วย
1. จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ โดยการให้แพลตฟอร์ม ธนาคาร และ โอเปอเรเตอร์ร่วมสมทบ เพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที
2. บังคับให้แพลตฟอร์มต่างประเทศแต่งตั้งตัวแทนในไทยตาม กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เพื่อให้การร้องเรียนและการกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลทำได้จริง
3. บังคับใช้ระบบลงทะเบียนโฆษณาและร้านค้าออนไลน์อย่างเข้มงวด เพื่อช่วยลดการหลอกขายสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม
4. ออกประกาศเกณฑ์บริหารจัดการภัยทุจริตดิจิทัลภายใน 30 วัน เพื่อให้ธนาคารมีมาตรการรับมือธุรกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างทันท่วงที
5. สนับสนุนงบประมาณสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มความรู้เท่าทันภัยออนไลน์
6. จัดทำระบบตรวจสอบ “เบอร์และบัญชีม้า” ฟรีสำหรับประชาชน เปิดให้ตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ และออกประกาศใหม่ของ กสทช. ภายใน 30 วัน
ไทยถูกหลอกเสียหายวันละ 77 ล้านบาทจากสแกมเมอร์
ในช่วงที่ผ่านมา ศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานถึง ความรุนแรงของสถานการณ์อาชญากรรมออนไลน์ในประเทศไทย โดยมีสถิติการรับแจ้งความสะสมในช่วง 3 ปี 7 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2568) สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยมีการแจ้งความคดีออนไลน์สูงถึง 1,058,056 คดี สร้างมูลค่าความเสียหายรวม คิดเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 1 แสนล้านบาท หรือความเสียหายเฉลี่ยต่อวัน ยอดเฉลี่ยความเสียหายต่อวันสูงถึง 77 ล้านบาท
ทางด้านภัยออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและมีการแจ้งความมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยอันดับ แรกคือ หลอกลวงซื้อขายสินค้าและบริการ จำนวนคดีมากที่สุดที่ 482,784 คดี คิดเป็นสัดส่วน 45.63% ของคดีทั้งหมด อันดับสองหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานจำนวน 185,853 คดี คิดเป็นสัดส่วน 17.57% และอันดับสาม หลอกให้กู้เงิน จำนวน 95,305 คดี คิดเป็นสัดส่วน 9.01%
สำหรับประเทศไทยที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก แสดงถึงการเป็นเครือข่ายข้ามชาติที่ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน และประเทศไทยถูกเลือกเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ
ทั้งนี้จากทั้งหมดประเทศไทยจึงกลายเป็นพื้นที่สำคัญของเครือข่ายสแกมเมอร์ เนื่องจากช่องว่างด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ความซับซ้อนของทุนสีเทาข้ามชาติ และการย้ายฐานของอาชญากรจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งหมดจึงไม่ใช่ปัญหารายบุคคล แต่เป็นภัยความมั่นคงของประเทศที่ต้องเร่งแก้ทั้งระบบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



