Ribbon

พบตุ๊กตาเถื่อน 6 หมื่นชิ้น เสี่ยงอันตรายต่อชีวิต แนะ ตรวจ มอก. ก่อนซื้อ

ของเล่นไร้มาตรฐานเกลื่อนตลาด ผู้บริโภคต้อง ตรวจ มอก. ก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจยึดตุ๊กตาละเมิดลิขสิทธิ์แบรนด์ดังกว่า 60,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ในพื้นที่ย่านจักรวรรดิ แสดงให้เห็นว่าสินค้าไม่ได้มาตรฐานยังหลุดเข้าสู่ตลาดไทยในปริมาณสูง ทั้งสินค้าร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์ โดยเฉพาะของเล่นและตุ๊กตา ซึ่งหลายคนมองว่าไม่มีอันตราย แต่จากการเฝ้าระวังของสภาผู้บริโภคพบว่า ของเล่นจำนวนมากต่างความเสี่ยงด้านสารเคมี ชิ้นส่วนเล็กที่หลุดง่าย วัสดุที่เกิดการลุกติดไฟเร็ว ไปจนถึงสินค้าไร้ข้อมูลผู้ผลิตที่ไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทำให้กรณีนี้สะท้อนปัญหาเชิงระบบมากกว่าการลักลอบจำหน่ายสินค้าเพียงครั้งเดียว

ขณะเดียวกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้บริโภคจำนวนมากแจ้งเหตุพบปัญหาของเล่นไม่มีมาตรฐาน จึงเกิดปัญหาตามมาทั้งการแพ้ตุ๊กตาขน ปัญหาสีตกหรือหลุดออกเมื่อโดนเหงื่อ เด็กสำลักชิ้นส่วนพลาสติก ไปจนถึงของเล่นที่ทำจากวัสดุไม่ได้มาตรฐาน ทั้งหมดล้วนเป็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในสินค้า “ราคาถูก แต่ไม่ปลอดภัย” ที่มีการตรวจพบในตลาดทั่วไปจำนวนมาก

สภาผู้บริโภค แนะนำว่า ก่อนเลือกซื้อตุ๊กตาและของเล่นทุกประเภท ผู้บริโภคควรตรวจสอบ “เครื่องหมายมาตรฐาน มอก.” แบบบังคับ มีวงกลมล้อมรอบ เลขที่ มอก. 685 – 2540 ที่อยู่ตรงป้ายตุ๊กตา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ยืนยันว่าสินค้าผ่านการทดสอบความปลอดภัยตามกฎหมายไทย รวมถึงควรสแกนตรวจสอบข้อมูลผ่านเครื่องหมายคิวอาร์ โค้ด (QR Code) ที่ประกบคู่มากับเครื่องหมาย มอก. ซึ่งช่วยให้เห็นข้อมูลแหล่งผลิต เลขรับรองมาตรฐาน ผู้จำหน่ายหรือผู้นำเข้า เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้ามีที่มาชัดเจนและไม่ใช่สินค้าลักลอบนำเข้าโดยไม่มีการทดสอบมาตรฐาน

สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ ผู้บริโภคต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นสองเท่า เพราะสินค้าราคาต่ำจำนวนมาก โดยเฉพาะของเล่นและเครื่องใช้ไฟฟ้า มักไม่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน บางร้านไม่มีข้อมูลผู้ขายหรือไม่สามารถแสดงเอกสารการรับรองใด ๆ ได้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มจัดเก็บอากรนำเข้ากับสินค้านำเข้าทุกชิ้น หลังกรมศุลกากรยกเลิกเกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำ (De Minimis) ที่เคยยกเว้นสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มาตรการใหม่นี้ถูกจับตาอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาสินค้าราคาต่ำจำนวนมากเข้าสู่ประเทศโดยไม่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคเสี่ยงได้รับสินค้าที่คุณภาพต่ำหรืออาจเป็นอันตราย โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นต้องตรวจสอบความปลอดภัยก่อนวางจำหน่าย มาตรการใหม่จึงคาดว่าจะช่วยลดช่องโหว่สำคัญในการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

อีกทั้ง สินค้ากลุ่มอาร์ตทอย เช่น ฟิกเกอร์ พวงกุญแจขนนุ่ม หรือของสะสมที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ยังเป็นอีกกลุ่มที่พบความเสี่ยงสูงจากการใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงสารเคมีที่อาจก่ออันตรายต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ โดยสภาผู้บริโภคได้เสนอให้ภาครัฐกำหนดกรอบการกำกับดูแลสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มเติม เพื่อให้มีมาตรฐานรองรับที่ชัดเจนมากขึ้น

ขณะเดียวกัน เพื่อให้การกำกับดูแลผู้บริโภคทำได้อย่างเข้มข้นและป้องกันสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานสู่ตลาด สภาผู้บริโภคและสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ร่วมกันเดินหน้าสร้างกลไกความร่วมมือเชิงระบบเพื่อยกระดับความปลอดภัยของสินค้าในตลาดไทย ผ่านการเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจสอบสินค้าเสี่ยงสูงอย่างต่อเนื่อง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองหน่วยงานร่วมกำหนดแนวทางปิดช่องโหว่สินค้าไม่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้าที่เลือกซื้อ โดยเฉพาะสินค้าสำหรับเด็ก เป็นสินค้าที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองอย่างแท้จริง

สำหรับผู้บริโภคที่พบสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมาย มอก. คู่กับคิวอาร์โค้ด หรือไม่มีเครื่องหมาย มอก. สามารถแจ้งเบาะแสไปยัง เว็บไซต์ สมอ. หรือโทร 02 430 6815 หรือหากพบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ควรแจ้งเบาะแสได้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โทร. 1202 ส่วนผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการซื้อสินค้าออนไลน์ สั่งของไม่ได้ของ ของไม่ตรงปก สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับสถานีตำรวจในพื้นที่โดยเร็วที่สุดหรือ แจ้งความออนไลน์ ที่นี่ หรือหากได้รับความไม่ปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการสามารถร้องเรียนมายังสภาผู้บริโภค ผ่านเว็บไซต์สภาผู้บริโภค หรือโทร. 1502

อย่างไรก็ตาม กระทรวงยุติธรรม แจ้งเตือนว่า การขายสินค้าปลอมหรือของเลียนแบบ ต้องระวางโทษทั้งจำทั้งปรับ โดยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 70 ผู้ใดกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา 31 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 3 เดือนถึง 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 108 บุคคลใดปลอมเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรองหรือเครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกถึง 4 ปี หรือปรับสูงสุดถึง 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง