ความรุนแรงในโรงเรียน วิกฤตเงียบ บั่นทอนสุขภาพจิตเด็กไทย

ความรุนแรงในโรงเรียน วิกฤตเงียบ บั่นทอนสุขภาพจิตเด็กไทย

สถานการณ์ปัจจุบัน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นรอบตัวเด็ก

ข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ที่สำรวจกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 7-25 ปี จำนวน 41,944 คนในปี 2568 พบว่า กว่า 65.54% เคยมีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้ง โดยรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดคือ การล้อชื่อพ่อแม่, ล้อเลียนรูปร่างหน้าตา, การประชิดตัวจนรู้สึกอึดอัด, การทำร้ายร่างกาย, และการเหยียดหยาม

ความรุนแรงเหล่านั้น ส่งผลให้ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งได้รับผลกระทบทางจิตใจ โดยส่วนใหญ่รู้สึกอับอาย โกรธแค้น รู้สึกเหนื่อยล้า และมากกว่า 1 ใน 4 มีความคิดทำร้ายตัวเอง แสดงให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้งรังแก มักจะได้รับผลกระทบต่อร่างกาย และจิตใจ จนอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล เกิดพฤติกรรมทำร้ายตนเอง หรือปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ ในระยะยาวตามมา

ดังนั้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไทยอย่างครอบคลุม สบส. จึงเร่งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมสุขภาพจิต เพื่อจัดการปัจจัยเสี่ยง พร้อมผลักดันโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ “พฤติกรรมการกลั่นแกล้งรังแก” และเพิ่มความเข้มข้นในการสื่อสาร เตือนภัยเรื่องผลกระทบจากการกลั่นแกล้งรังแกอย่างต่อเนื่อง

สำรวจ 4 มิติของการรังแกในโรงเรียน ที่เด็กไทยต้องเผชิญ

สำรวจ 4 มิติของการรังแกในโรงเรียน ที่เด็กไทยต้องเผชิญ

เมื่อเจาะลึกลงไปใน พื้นที่ที่ควรปลอดภัย อย่างโรงเรียน จากผลสำรวจของ สภาผู้บริโภค ระหว่างวันที่ 8-22 เมษายน 2568 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 798 คน พบว่า 42% หรือ 337 คน เคยมีประสบการณ์หรือพบเห็นความรุนแรงในโรงเรียน โดยจำแนกความรุนแรงออกเป็น 4 มิติหลัก ได้แก่ ความรุนแรงทางกาย วาจา สังคม และไซเบอร์

การรังแกทางร่างกาย ยังคงเป็นภาพสะท้อนความรุนแรงในโรงเรียนที่เห็นได้ชัด พบว่า “การตี” เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมากที่สุดถึง 62.6% ตามด้วยการต่อย 52.8% และการเตะ 37.7% นอกจากนี้ ยังพบพฤติกรรมอื่น เช่น การดึงผม การข่มขู่ หรือการบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แม้บางพฤติกรรมจะไม่ใช่การทำร้ายโดยตรง แต่ล้วนสะท้อนถึงการใช้อำนาจหรือกำลังทางกายที่ไม่เหมาะสม

ด้านความรุนแรงทางวาจา เด็กจำนวนมากเปิดเผยว่า พวกเขาเคยถูก “พูดจาทำร้ายจิตใจ” ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด 68.7% รองลงมาคือ การนินทาและคำพูดเสียดสี 63.3% และการล้อเลียนรูปร่างหรือบุคลิก 52.8% ซึ่งทั้งหมดนี้บ่งชี้ถึงการใช้คำพูดเป็นอาวุธในการลดทอนคุณค่าของผู้อื่น นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมแกล้งเรียกชื่อเสียหาย และการปล่อยข่าวลือที่บิดเบือนความจริง ล้วนแต่สร้างความอับอายและกระทบต่อภาพลักษณ์อย่างรุนแรง

สำหรับความรุนแรงทางสังคม พบว่าการ “ล้อเลียนหรือทำให้อับอายต่อหน้าคนจำนวนมาก” และ “การพูดลับหลัง ปล่อยข่าวลือ” เกิดขึ้นในอัตราเท่ากันที่ 50.1% สะท้อนว่าการทำลายความสัมพันธ์ในสังคมผ่านการประจานหรือบ่อนทำลายชื่อเสียง เป็นเครื่องมือหลักของการรังแกในมิติทางสังคม และมักปรากฏควบคู่กัน นอกจากนี้ยังมี การกีดกันจากกลุ่ม ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมพบ 31.8%แสดงให้เห็นว่าการทำให้เหยื่อรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เป็นวิธีการรังแกที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกเป็นเจ้าของและความมั่นคงทางสังคมของนักเรียน

ส่วนการรังแกในโลกไซเบอร์ แม้ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 59.8% ระบุว่า “ไม่เคยพบเจอ” แต่ก็อาจสะท้อนได้หลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการไม่ตระหนักว่ากำลังเผชิญกับการรังแก อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มที่เคยถูกกระทำ พบว่า การโพสต์ข้อความด่าทอหรือเหยียดหยาม 27.6% เป็นพฤติกรรมที่พบมากที่สุด รองลงมาคือ การปล่อยข่าวลือ 13.5%และการกีดกันออกจากกลุ่มออนไลน์ 12.9% ที่ส่งผลต่อความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเด็ก

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรณีรุนแรงอย่าง การคุกคามทางเพศออนไลน์ การแบล็กเมล์ และการตัดต่อภาพให้เสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทางจิตใจในระยะยาว ทั้งความอับอาย ความกลัว และการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

สาเหตุความรุนแรงในโรงเรียนจากมุมมองของนักเรียน

เมื่อพูดถึงสาเหตุของปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน หลายคนอาจนึกถึงปัจจัยภายนอกหรือการเลี้ยงดูในครอบครัว แต่ผลสำรวจล่าสุดกลับชี้ชัดว่า ต้นเหตุหลักของปัญหาคือ “นักเรียนด้วยกันเอง” โดยมีสัดส่วนสูงถึง 92.3% แสดงให้เห็นว่า ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนคือแหล่งสำคัญของพฤติกรรมรุนแรง ทั้งการกลั่นแกล้ง การใช้กำลัง หรือการละเมิดด้วยคำพูด

ในขณะที่ อิทธิพลจากสังคมและสื่อ ซึ่งมักมีเนื้อหาเชิงรุนแรง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีนัยสำคัญ โดย 27.9% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสื่อมีบทบาทในการปลูกฝังพฤติกรรมก้าวร้าว โดยเฉพาะในยุคที่เนื้อหาบนโซเชียลมีเดียกระตุ้นอารมณ์และความรุนแรงได้เพียงปลายนิ้วคลิก

นอกจากนี้ ยังมีเสียงสะท้อนว่า ครูหรือบุคลากรในโรงเรียน ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหา โดย 17.5% ระบุว่า สาเหตุของความรุนแรงอาจมาจากการจัดการปัญหาที่ไม่เหมาะสม การเพิกเฉยเมื่อเห็นนักเรียนถูกรังแก หรือในบางกรณี อาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์จากผู้ใหญ่ในโรงเรียน

ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนไม่ได้เกิดจากปัจจัยใดปัจจัยเดียว แต่เป็นผลลัพธ์จากระบบความสัมพันธ์และสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการป้องกันและแก้ไข

ทั้งนี้ ข้อมูลผลสำรวจทั้งสองชุด จาก สบส. และสภาผู้บริโภค สะท้อนภาพตรงกันว่า ความรุนแรงได้กลายเป็น เรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานที่ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการเรียนรู้และเติบโต กลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยการกลั่นแกล้ง กดดัน และทำลายความมั่นใจของเยาวชน

6 ข้อเสนอจากเสียงของเยาวชน ครู และผู้ปกครอง

แม้โรงเรียนควรเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการเรียนรู้และเติบโต แต่ความรุนแรงในโรงเรียนกลับยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษาไทย เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค จึงได้รวบรวมเสียงสะท้อนจากหลายภาคส่วน ผ่านแบบสำรวจและเวทีสาธารณะ ทั้งในระดับมัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากครูและผู้ปกครอง นำไปสู่การสังเคราะห์ข้อเสนอสำคัญ 6 ประการ ถึงกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผลักดันให้โรงเรียนไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียนทุกคน

โดยมี 1.สร้างระบบดูแลสุขภาพจิตที่เข้าถึงได้ ด้วยการจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ อบรมครูให้ดูแลนักเรียนเชิงลึก พร้อมระบบติดตามผู้มีความเสี่ยง

2.ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ปลอดภัย เพิ่มมาตรการความปลอดภัยในโรงเรียน เช่น ห้องน้ำมิดชิด คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้า–ยาเสพติด และป้องกันบุคคลภายนอก

3.รับมือไซเบอร์บูลลี่อย่างจริงจัง บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิและความรุนแรงในโลกออนไลน์ลงในหลักสูตร และอบรมครูให้เข้าใจปัญหา

4.คุ้มครองสิทธิเด็กและเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วม จัดให้มีช่องทางร้องเรียนที่ปลอดภัย ให้นักเรียนและสภานักเรียนมีบทบาทเฝ้าระวังและสื่อสารปัญหา

5.เสริมบทบาทครอบครัวในการดูแลสุขภาพจิต ให้ความรู้ผู้ปกครองเรื่องภาวะซึมเศร้าและพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อให้บ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย

และ 6.พัฒนาการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาและป้องกันการคุกคามทางเพศ จัดอบรมครู–นักเรียนให้เข้าใจเรื่องสิทธิในร่างกาย ความหลากหลายทางเพศ และตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาในโรงเรียน

ข้อเสนอทั้ง 6 ข้อนี้ คือ เสียงจริงจากผู้ที่อยู่ในระบบการศึกษา เยาวชน ครู และผู้ปกครอง เพราะ การสร้างโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย เพื่อให้เยาวชนเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพในพื้นที่ปลอดภัย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง