Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภคเปิดบ้านต้อนรับผู้บริหาร สคบ. ร่วมหารือแนวทาง คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ยก 4 ประเด็นเร่งด่วนกระทบคุณภาพชีวิตประชาชน เตรียมเสนอรัฐบาลชุดใหม่
วันที่ 8 กันยายน 2568 คณะผู้บริหารสำนักงานสภาผู้บริโภค นำโดยสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เปิดบ้านต้อนรับคณะผู้บริหารจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) นำโดยรณรงค์ พูนพิพัฒน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยจะเสนอ 4 ประเด็นสำคัญเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งการยืนยันตัวตนผู้ขายสินค้าออนไลน์ การพัฒนาขนส่งสาธารณะ ค่าน้ำค่าไฟหอพัก และการจัดการสายสื่อสาร พร้อมหารือการผลักดันกฎหมายสำคัญอย่าง “เลมอน ลอว์” เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากปัญหาสินค้าชำรุดบกพร่อง

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคมีแผนผลักดันนโยบายเร่งด่วนในการคุ้มครองผู้บริโภค ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การยืนยันตัวตนผู้ขาย และนโยบายเรื่องการขนส่งสาธารณะ และอีก 2 ประเด็นถูกเสนอจากองค์กรสมาชิกในพื้นที่ คือ ประเด็นเรื่องค่าน้ำค่าไฟหอพัก ห้องเช่า และประเด็นเรื่องสายสื่อสาร
สำหรับเรื่องการยืนยันตัวตนผู้ขายที่ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น เป็นประเด็นสำคัญเรื่องจากปัจจุบันมีการซื้อขายสินค้าออนไลน์ทุกวัน และยังคงมีผู้บริโภคที่ถูกหลอกลวงทุกวันเช่นกัน ทั้งกรณีซื้อของไม่ได้ของ สินค้าไม่ตรงปก โดยเฉพาะการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊ก ดังนั้น การยืนยันตัวตนผู้ขายอาจจะช่วยป้องกันการหลอกลวง และทำให้สามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ด้วย
ส่วนประเด็นการขยายและพัฒนาการขนส่งสาธารณะ สภาผู้บริโภคมีเป้าหมายเรื่องการรับรองสิทธิของผู้บริโภคในการเข้าถึงบริการสาธารณะ ซึ่งนอกจากจะขับเคลื่อนในกรุงเทพฯ เช่น เรื่องบริการรถไฟฟ้า 20 บาทแล้ว ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาขนส่งในต่างจังหวัด โดยปีนี้มีโครงการขยายความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใน 12 จังหวัด เพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ และอาจจะขยายเพิ่มใน 20 จังหวัดที่มีหน่วยงานประจำจังหวัด
“สำหรับนโยบายการเรื่องการขนส่งสาธารณะนั้น ในช่วงหาเสียงเมื่อปี 2566 ทุกพรรคมีนโยบายการผลักดันระบบขนส่งสาธารณะที่ประชาชนเข้าถึงได้ ของพรรคภูมิใจไทย เสนอให้ใช้บริการรถไฟฟ้าราคา 40 บาทตลอดทั้งวัน สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่นโยบายดังกล่าวจะได้รับการสานต่อ เพราะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน” นางสารี กล่าว
สำหรับเรื่องที่มีการเสนอจากองค์กรสมาชิกในต่างจังหวัด เรื่องการควบคุมสัญญาหอพัก ค่าน้ำค่าไฟห้องเช่าที่เป็นธรรม เป็นเรื่องที่มองว่าหากทำความร่วมมือกับ สคบ. จะเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะ สคบ. มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่องสัญญาอยู่แล้ว และอยากชวน สคบ. มาร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับมหาวิทยาลัย เนื่องจากหอพักส่วนมากจะอยู่แถวมหาวิทยาลัย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของนักศึกษาได้มาก
ในกรณีสายสื่อสาร ซึ่งรวมถึงทั้งสายไฟฟ้าและสายสื่อสารของบริษัทต่าง ๆ ที่ห้อยระโยงระยางและในหลาย ๆ ครั้งทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค อย่างกรณีผู้บริโภคในจังหวัดน่านและพะเยา ที่สภาผู้บริโภคเข้าไปช่วยเหลือผู้บริโภคจนได้รับเงินเยียวยา แต่ ยังไม่ใช่การจัดการอย่างเป็นระบบ มองว่าหากทำงานร่วมกับ สคบ. จะช่วยพัฒนาการทำงานให้เป็นรูปธรรมได้มากขึ้น
“ประเด็นทั้งหมดนี้ สภาผู้บริโภคมองว่าหากทำงานร่วมกับ สคบ. หารือกับรัฐมนตรีและเห็นความสำคัญร่วมกัน น่าจะทำให้เกิดความสำเร็จได้ไม่ยาก” สารี ระบุ

อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ให้ข้อมูลเสริมว่า ประเด็นการยืนยันตัวตนผู้ขาย อยากทำงานร่วมกับ สคบ. ในแง่มุมของการแสดงฉลาก เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอในการเลือกซื้อสินค้า นอกจากนี้สภาผู้บริโภคยังทำงานร่วมกับ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ในเรื่องสัญลักษณ์มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ที่ผู้บริโภคจะใช้ประกอบในการเลือกซื้อสินค้า ซึ่งเป็นประเด็นเรื่องความปลอดภัยของสินค้า
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังได้ผลักดันร่างพ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือ พ.ร.บ. เลมอน ลอว์ ซึ่งปัจจุบันมีร่างกฎหมายฉบับสภาผู้บริโภคและฉบับสภาผู้แทนราษฎร อยากให้ สคบ. ช่วยผลักดันกฎหมายให้เกิดขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีประเด็นเรื่องสินค้าชำรุดบกพร่องหลายกรณี ซึ่งเป็นกรณีใหญ่ ๆ เช่น เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าเนต้า ปัญหาโทรศัพท์มือถือจอขึ้นเส้น เรื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน

ด้านรณรงค์ พูนพิพัฒน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุว่า คณะผู้บริหาร สคบ. มีความตั้งใจที่จะเข้ามาเยี่ยมเยียน และขยายความร่วมมือระหว่างทั้ง 2 หน่วยงาน ให้เกิดผลและตรงความคาดหมายอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้การดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
“อะไรที่กฎหมายให้ทำได้ก็ทำ อะไรที่กฎหมายให้ทำไม่ได้อาจจะนำไปสู่การเสนอแก้ไขกฎหมายต่อไป เราคุยกันในช่วงที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลพอดี เป็นช่วงที่ต้องเลือกทำสิ่งที่สามารถสร้างความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น และแผนการดำเนินงานในระยะยาวเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค โดยสคบ. ยินดีให้ความร่วมมือกับสภาผู้บริโภคในการผลักดันการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประสบความสำเร็จ” รณรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ สคบ. เห็นด้วยในหลักการกับ 4 ประเด็นที่สภาผู้บริโภคเสนอ โดยประเด็นเรื่องการยืนยันตัวตนผู้ขาย เลขาธิการ สคบ. กล่าวว่า ปัญหาการ คือยืนยันตัวตนผู้ขายในต่างประเทศ และแพลตฟอร์มที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย เช่น เฟซบุ๊ก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกับเพราะผู้ขายในประเทศที่สามารถกำกับดูแลได้ และต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีการกำกับดูแลเฉพาะ เช่น เอ็ตด้า (ETDA) กระทรวงดีอี ที่ยังตามทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลายประเทศก็ยังทำไม่ได้เพราะติดเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศด้วย
ส่วนเรื่องขนส่งสาธารณะ เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะหากคุยกับรัฐบาลและรัฐบาลตอบรับ ก็อยากจะถูกนำไปพัฒนาเป็นนโยบายของรัฐบาล เพื่อพัฒนาขนส่งทั่วประเทศได้ แต่ควรระวังเรื่องผู้ที่เสียผลประโยชน์จากข้อเสนอของสภาผู้บริโภค เพราะอาจจะทำให้เกิดเสียงคัดค้าน สำหรับ สคบ. ต้องดูว่าจะร่วมมือกับในลักษณะใด เนื่องจากสคบ. ทำงานเรื่องสินค้าและสัญญาเป็นหลัก แต่ยินดีให้ความร่วมมือ และช่วยใช้กฎหมายในมือเพื่อสนับสนุนการคุ้มครองผู้บริโภค
สำหรับเรื่องค่าน้ำค่าไฟหอพัก เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สคบ.โดยตรง และมีกฎหมายในมือ แต่ปัญหาหลักคือมีผู้ให้บริการจำนวนมาก ทั้งนี้ เรื่องการทำความร่วมมือกับสภาผู้บริโภคและมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสามารถทำได้ทันที
เรื่องสายสื่อสารและสายไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก ยกตัวอย่างกรณีที่น้ำท่วมแล้วมีคนถูกไฟดูด หรือเสียชีวิตจากช็อต อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่เพราะต้องร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น การไฟฟ้า คมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงภาคเอกชนด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องคุ้มครองผู้บริโภค เพราะการจ่ายเงินชดเชยการเยียวยาไม่คุ้มค่ากับการเสียชีวิต จึงต้องทำงานเชิงป้องกันด้วย
สำหรับกฎหมายเลมอนลอว์ สคบ. ได้มีการเสนอกฎหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ต้องติดตามว่าจะมีความคืบหน้าอย่างไร
“ผมมีความเข้าใจส่วนตัวว่ารัฐบาลใหม่ จะต้องอยากทำอะไรใหม่ ๆ ที่ดีกว่าของเดิม เพราะฉะนั้นเรื่อง 4 นโยบายเร่งด่วนของสภาผู้บริโภค สามารถเสนอได้เลย ถึงแม้ สภาผู้บริโภคจะผลักดันมาตลอด แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น หากรัฐบาลใหม่ทำให้เกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย” รณรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้แบ่งการทำงานระหว่างสภาผู้บริโภคและสคบ. ออกแบบนโยบายที่น่าจะเป็นรูปธรรมในระยะสั้น เพื่อเสนอต่อรัฐบาล นอกจากนี้ มีข้อเสนอระยะยาวเพื่อเป็นแนวทางให้การดำเนินงานต่อไป นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงแนวทางการประสานงานในการช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย การเชื่อมโยงข้อมูลในการคุ้มครองผู้บริโภค และการออกกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
การหารือระหว่าง สภาผู้บริโภคและ สคบ. ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการประสานความร่วมมือเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในประเด็นที่กระทบชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการซื้อขายออนไลน์ การเดินทางสาธารณะ ค่าครองชีพ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หากสามารถผลักดันร่วมกันได้อย่างเป็นรูปธรรม จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้ผู้บริโภคไทยในอนาคต