Getting your Trinity Audio player ready... |

คดีการก่อสร้างอาคารสูงผิดกฎหมายในซอยเล็ก ๆ อย่างซอยร่วมฤดี สู่มหากาพย์กว่า 10 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อรื้อถอนอาคาร ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความล่าช้าของหน่วยงานรัฐ ความไม่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ที่สั่นคลอนความน่าเชื่อถือและไว้วางใจต่อกระบวนการยุติธรรม
คุณคิดว่าระยะเวลา 10 ปี สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง?
เปลี่ยนเด็กอนุบาลคนหนึ่งให้กลายเป็นเด็กประถมปลาย…
เปลี่ยนจากยุคอนาล็อกสู่ยุคดิจิทัล… เปลี่ยนคณะรัฐมนตรี… เปลี่ยนผู้ว่าฯ กทม. …
แต่สำหรับกรณี “ดิเอทัส” (The Aetas) โครงการคอนโดมิเนียมหรู ที่ผู้บริโภครวมตัวกันฟ้องร้องเรื่องอาคารสูงผิดกฎหมายในซอยแคบ ระยะเวลา 10 ปี กลับผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์และไม่เห็นถึงความคืบหน้าใด ๆ เลย
จุดเริ่มต้นการฟ้องคดี
ย้อนกลับไปเมื่อ ปี 2548 มีการขออนุญาตก่อสร้างอพาร์ตเมนต์และโรงแรมในชื่อ ดิเอทัส (The Aetas) ซึ่งเดิมบริษัท ลาภประทาน จำกัด ขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูง 18 ชั้น ใต้ดิน 1 ชั้น ต่อมาบริษัท ทับทิมทร จำกัด ขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมดิเอทัสสูง 24 ชั้น ใต้ดิน 2 ชั้น โดยใช้เอกสารของบริษัท ลาภประทาน ประกอบการขออนุญาต
ปี 2549 ผู้บริโภคในซอยร่วมฤดีที่ได้รับผลกระทบ ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบความถูกต้องของการก่อสร้างอาคาร จึงพบว่าซอยร่วมฤดีกว้างไม่ถึง 10 เมตร ไม่สามารถสร้างอาคารสูงได้ ซึ่งขัดกับหนังสือรับรองของสำนักงานเขตที่อนุญาตให้ก่อสร้างได้ สำนักการโยธาแจ้งให้สำนักงานเขตปทุมวัน ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แต่ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน กลับละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
ทั้งนี้ ตามกฏหมายกระทรวงฉบับที่ 33 (ปี 2535) มีข้อกำหนดระบุไว้ชัดเจนว่า “อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษมากกว่า 8 ชั้น หรือ 23 เมตรต้องติดถนนสาธารณะที่เขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10.00 เมตร ยาวจนไปเชื่อมกับถนนสาธารณะเส้นใดก็ได้ และมีทางกว้างไม่น้อยกว่า 10.00 เมตร (เป็นขั้นต่ำ) เพื่อให้รถดับเพลิงเข้าได้สะดวก ถ้าพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถสั่งห้ามใช้อาคาร และให้แก้ไขอาคารให้ถูกต้อง หรือมีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารทั้งหมดหรือบางส่วนได้ หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นดำเนินการให้มีการรื้อถอนได้เองโดยเจ้าของอาคารจะต้องเสียค่าใช้จ่าย
ปี 2550 สำนักการโยธาจึงส่งหนังสือทักท้วงไปยังบริษัททั้งสอง เพื่อทักท้วงว่าอาคารที่ก่อสร้างขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากความกว้างของเขตทางไม่เป็นไปตามที่กำหนด และแจ้งให้สำนักงานเขตปทุมวันสั่งระงับการก่อสร้าง แต่สำนักงานเขตฯ ไม่ดำเนินการ
ในที่สุด เมื่อวันที่ 17 กันยายน ปี 2551 ผู้ได้รับผลกระทบ 24 คน นำโดย นายแพทย์สงคราม ทรัพย์เจริญ จึงรวมตัวกันยื่นฟ้องร้อง ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

10 ปี (กทม.) ทำอะไรได้บ้าง?
หลังจากนั้นกระบวนการทางศาลดำเนินไปเป็นระยะเวลาประมาณ 4 ปี กระทั่งวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 2555 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้สำนักงานเขตปทุมวันและ กทม. ใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ในการสั่งระงับการใช้ และรื้อถอนอาคารที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด และวันที่ 30 ตุลาคมปี 2557 ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง
นั่นแปลว่าอพาร์ตเมนต์และโรงแรม ดิ เอทัส ควรถูกรื้อถอนภายในวันที่ 29 ธันวาคม ปี 2557 แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงง่าย ๆ อย่างที่คิด
ในเดือนมกราคม ปี 2558 สำนักงานเขตปทุมวัน ออกคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง และห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคาร หรือบริเวณอาคารทั้งหมด และในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2558 สำนักงานเขตปทุมวัน ได้มีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมายให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่ได้รับคำสั่ง
แต่สุดท้ายเวลาก็ล่วงเลยมาอีก 9 เดือนโดยไม่มีความคืบหน้าใด ๆ
วันที่ 3 สิงหาคม ปี 2559 กลุ่มผู้เสียหายจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนหรือแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีที่สำนักงานเขตปทุมวันและ กทม. ไม่ได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง โดยปฏิบัติล่าช้าเกินสมควร ในเดือนเดียวกันนั้นศาลปกครองกลางจึงนัดไต่สวนปัญหาความล่าช้าของการบังคับคดี โดยสำนักงานเขตฯ และ กทม. อ้างว่า ได้ออกคำสั่งให้รื้อถอนอาคารตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ปี 2522 ไปแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในเดือนกันยายน ปี 2559 ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้สำนักงานเขตปทุมวันปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองให้ครบถ้วน
14 เดือนผ่านไป อาคารสูงผิดกฎหมายทั้งสอง ยังตั้งตระหง่าน และยังมีการเปิดใช้อาคารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนในสมัยที่พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. ได้ชี้แจงในการไต่สวนของศาลว่า กทม.จะเดินหน้ารื้อถอนตามคำสั่งศาล คาดว่าพร้อมดำเนินการเข้ารื้อถอนอาคาร ประมาณปลายเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2561 โดยค่ารื้อถอน กรุงเทพมหานครจะฟ้องเรียกคืนจากเจ้าของอาคาร ประมาณการค่าใช้จ่ายรื้อถอนราว 200 ล้านบาท
เดือนมีนาคม ปี 2561 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เผยแพร่ประกาศและเอกสารประกวดราคางานรื้อถอนอาคารทั้งสอง แต่การประกวดราคาจ้างรื้อถอนอาคารพิพาททั้งสอง เป็นอันต้องยกเลิกเนื่องจาก ผู้เสนอราคางานรื้อถอนอาคารมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
เดือนมิถุนายน ปี 2561 สำนักงานเขตปทุมวัน ได้จัดทำแผนเผยแพร่การจัดซื้อจัดจ้างรายการรื้อถอนอาคารทั้งสอง อีกครั้ง กระทั่งวันที่ 9 เมษายน ปี 2562 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่าได้บริษัทผู้รับจ้างรื้อถอนแล้ว อยู่ระหว่างการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การรื้อถอนอาคารเป็นไปด้วยเรียบร้อย คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือน เมษายน ปี 2562 และจะแล้วเสร็จภายใน 1 ปี
ที่ผ่านมาสำนักงานเขตปทุมวันได้มีหนังสือแจ้งห้ามใช้อาคารไปยังเจ้าของอาคาร และติดป้ายไวนิลแจ้งไว้ด้านหน้าอาคารทั้ง 2 อาคารเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการเข้าใช้อาคารอยู่ ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล เจ้าของอาคารจะต้องเสียค่าปรับในการเข้าใช้อาคารทั้ง 2 อาคาร รวมวันละ 30,000 บาท ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ปี 2561 เป็นต้นมา
สถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ เมื่อ 2 ปีผ่านไป… กทม.เพิ่งได้ทำสัญญาจ้างรื้อถอน
วันที่ 22 กันยายน ปี 2563 สำนักงานเขตปทุมวัน ทำสัญญาจ้างรื้อถอนอาคารทั้งสอง กับ บริษัท ทำเลไทย ธรรมชาติ จำกัด มีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี แต่วันต่อมาบริษัทผู้รับจ้างแจ้งเหตุไม่สามารถเข้าดำเนินการรื้อถอนตามสัญญา ได้เนื่องจากยังมีคนพักอาศัยอยู่ภายในอาคาร และขอให้สำนักงานเขตปทุมวันประสานกับเจ้าของอาคารและผู้พักอาศัย ส่งมอบพื้นที่อาคารเพื่อดำเนินการรื้อถอนตามสัญญา
เดือนธันวาคม ปี 2563 สำนักงานเขตปทุมวันมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง และห้ามบุคคลใดเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคาร หรือบริเวณอาคาร (อีกครั้ง)
หลังจากนั้นในปี 2564 บริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัท ทับทิมทร จำกัด ได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่งของสำนักงานเขตปทุมวันในเรื่องการดัดแปลงอาคาร และมีการคัดค้านจากกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ สุดท้ายคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แจ้งว่า คณะกรรมการฯ ไม่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เรื่องนี้
เดือนมีนาคม ปี 2565 สำนักงานเขตปทุมวันร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าพื้นที่เพื่อรื้อถอนอาคารดังกล่าว แต่ยังคงมีทรัพย์สินอยู่ภายในอาคาร จึงแจ้งคำสั่งให้ย้ายทรัพย์สินออกจากอาคาร อีกทั้งมีการสำรวจและจัดทำบัญชีทรัพย์สินโดยได้รายงานความคืบหน้าไปยังสำนักงานบังคับคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครองทราบอย่างสม่ำเสมอ
เดือนกรกฎาคม ปี 2565 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในฐานะตัวแทนผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ขอให้เร่งรัดปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
แต่หลังจากนั้น สถานะการรื้อถอนยังอยู่ที่เดิม
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงได้ส่งหนังสือถึงผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อสอบถามความคืบหน้าการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อีก 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ปี 2566 และวันที่ 5 เมษายน 2567
จนกระทั่ง เดือนพฤศจิกายน ปี 2567 มูลนิธิผู้บริโภคประสานมายังสภาผู้บริโภคเพื่อจัดทำรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภค กรณีการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด และในเดือนเดียวกันสภาผู้บริโภคได้ส่งรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำฯ ดังกล่าวถึง กทม. ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และศาลปกครองเป็นที่เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอาคารดิเอทัสก็ยังไม่ถูกรื้อถอน แม้ว่านานกว่า 10 ปีแล้ว นับจากศาลปกครองจะมีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุด
มหากาพย์คดี “ดิเอทัส” ไม่ใช่แค่เรื่องราวของอาคารสูงผิดกฎหมาย แต่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการขออนุญาตสร้างอาคารที่มีปัญหา และไม่โปร่งใสในการดำเนินงานของสำนักงานเขต และความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย คำถามสำคัญที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของทุกคนคือ เมื่อศาลมีคำสั่งถึงที่สุดแล้ว เหตุใดการบังคับใช้กฎหมายจึงยังคงเต็มไปด้วยอุปสรรค? และเราจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน กว่าความยุติธรรมจะมาถึงอย่างแท้จริง?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เร่ง กทม. ทุบ ดิเอทัส หลังยืดเยื้อ 10 ปี ย้ำกฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์
คดีแฝดจาก ดิเอทัส สู่ ‘แอชตัน อโศก’ เพิกถอนใบอนุญาต ละเมิดกฎหมายควบคุมอาคาร