
สภาผู้บริโภค หนุนข้อเสนอสภาพัฒน์ รวมระบบประกันสุขภาพ ทุกระบบเพื่อรับมือสังคมสูงวัย พร้อมกับย้ำ “ระบบเดียว” สร้างความเท่าเทียม แต่ยังยืนยันค้านร่วมจ่าย ณ จุดบริการ
จากกรณีที่นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เสนอให้ออกแบบระบบประกันสุขภาพใหม่ โดยรวม “บัตรทอง–ประกันสังคม–สวัสดิการข้าราชการ–เอกชน” ให้เป็นระบบเดียว ท่ามกลางบริบทที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ประชากรวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง จนเกิดคำถามสำคัญว่าระบบสุขภาพที่พึ่งพางบประมาณภาษีเป็นหลักจะเดินต่อไปได้อย่างไรในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของสภาผู้บริโภคที่ได้เสนอมาก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคยังยืนยันคัดค้านร่วมจ่าย ณ จุดบริการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ
สภาผู้บริโภคเห็นด้วย “รวมระบบประกันสุขภาพ” แต่ต้องไม่ร่วมจ่าย ณ จุดบริการ
สมชาย กระจ่างแสง อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาผู้บริโภค แสดงจุดยืนชัดเจนว่า เห็นด้วยกับแนวคิดการออกแบบระบบประกันสุขภาพระบบเดียว ซึ่งเป็นข้อเสนอที่สภาผู้บริโภคผลักดันมาโดยตลอด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ
ส่วนกรณีที่ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ ให้ใช้ระบบบริหารงบประมาณแบบผสมผสาน โดยหักรายได้ของประชาชนเป็นเงินออมเข้าสู่กองทุนประกันสุขภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐอย่างเดียวนั้น นายสมชาย กล่าวว่า หากจะมีการร่วมจ่าย สภาผู้บริโภคขอย้ำจุดยืนว่าต้องไม่ใช่การร่วมจ่าย ณ จุดบริการ แต่ต้องเป็นผ่านระบบภาษีเท่านั้น
“ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานที่สุดของประชาชน นั่นคือ “ไม่มีเงินรักษา” ในอดีต คนจำนวนมากต้องปล่อยให้อาการป่วยทรุดหนัก ขายทรัพย์สิน หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต เพียงเพราะไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ หัวใจของระบบนี้ คือ การป้องกันไม่ให้ประชาชนล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล หากมีการร่วมจ่าย แม้เพียงบางส่วน ก็เท่ากับผลักภาระกลับมาที่ประชาชน และเปิดความเสี่ยงให้คนไทยต้องเผชิญหายนะทางการเงินจากการเจ็บป่วยอีกครั้ง” สมชาย กล่าว
นอกจากนี้ การร่วมจ่ายยังทำลายหลักความเท่าเทียม เพราะแม้จะเป็นระบบสมัครใจ ผู้ที่มีเงินก็จะได้รับบริการที่รวดเร็วและมีทางเลือกมากกว่า ขณะที่คนรายได้น้อยอาจต้องรอ หรือหลีกเลี่ยงการรักษา ซึ่งไม่ควรเป็นหลักการของระบบสุขภาพของประเทศ
ระบบที่ช่วยชีวิตคนจริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขงบประมาณ
สมชาย ชี้ให้เห็นว่า ระบบหลักประกันสุขภาพทำให้การเข้าถึงการรักษาดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังหรือโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคไต มะเร็ง โรคจิตเวช หรือเอชไอวี ปัจจุบันผู้ติดเชื้อเอดส์ (เอชไอวี)
สามารถมีชีวิตปกติได้ หากเข้าถึงยาอย่างต่อเนื่อง และมะเร็งระยะต้นก็สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้พิสูจน์แล้วว่าสามารถ “รักษาชีวิตคน” ได้จริง
อีกประเด็นสำคัญคือ หากระบบประกันรวมแบบใหม่มีการร่วมจ่าย ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยจะหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลเมื่ออาการยังไม่รุนแรง และเลือกไปเมื่ออาการทรุดหนัก ซึ่งกลับทำให้ต้นทุนการรักษาสูงขึ้น ต้องใช้เครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์มากกว่าเดิม
“ประชาชนทุกคนเสียภาษีอยู่แล้ว ทั้งภาษีทางตรงและทางอ้อม หากจะให้ร่วมจ่าย ควรร่วมจ่ายผ่านระบบภาษี ไม่ใช่จ่าย ณ จุดบริการ” สมชายย้ำจุดยืน
บทเรียนอดีต จุดกำเนิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ก่อนหน้านี้ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของระบบหลักประกันสุขภาพ มาจากกรณีศึกษาที่สะเทือนใจอย่างยิ่ง คือ ผู้สูงอายุที่ต้องถูกนำเลนส์ตาออกหลังผ่าตัดต้อกระจก เพียงเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเลนส์ เหตุการณ์เช่นนี้สะท้อนความทุกข์ที่จับต้องได้ และเป็นแรงผลักสำคัญให้เกิดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อไม่ให้ใครต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนั้นอีก
สภาผู้บริโภค เสนอว่า หากจำเป็นต้องเพิ่มทรัพยากร โดยเฉพาะงบประมาณในระบบ ควรใช้การจัดเก็บผ่านภาษีสุขภาพ เพื่อให้ทุกคนได้รับมาตรฐานการรักษาเท่าเทียมกัน เช่น การจัดเก็บภาษีจากสินค้าที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างน้ำตาล ความเค็ม บุหรี่ และแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแนวทางที่เป็นธรรมและไม่สร้างอุปสรรคในการเข้าถึงบริการ นโยบายด้านสุขภาพที่ดีควรเป็นนโยบายถ้วนหน้า ไม่เลือกกลุ่ม เพราะยิ่งเลือก ยิ่งผลักให้คนด้อยโอกาสเข้าถึงการรักษาได้ยากขึ้น
“จุดยืนของสภาผู้บริโภคชัดเจน เราไม่ยอมรับการร่วมจ่าย ณ หน่วยบริการ ประชาชนต้องเข้าถึงการรักษาที่ดี ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีเงินเท่านั้น หากจะเพิ่มรายได้ให้ระบบด้วยวิธีอื่น สภาผู้บริโภคพร้อมสนับสนุน” สารีทิ้งท้าย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



