
เหตุสะเทือนใจ! คลินิกปฏิเสธรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจนเสียชีวิต สภาผู้บริโภคชี้ ประชาชนยังไม่รู้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับบริการได้ทุกที่ แนะหน่วยงานรัฐเร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์เรื่องสิทธิผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียชีวิตในอนาคต
จากกรณีข่าว คลินิกย่านประชาอุทิศปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตบริเวณหน้าคลินิก โดยขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์
วันที่ 19 มิถุนายน 2568 สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ประธานอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาผู้บริโภค ได้แสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตที่ถูกปฏิเสธการรักษา และได้แสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นสะท้อนเห็นได้ว่าคลินิกไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะรักษาผู้ป่วยในภาวะวิกฤต เนื่องจากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจร่วมด้วย แม้จะเข้าใจได้ว่าในทางปฏิบัติ คลินิกอาจไม่มีศักยภาพในการรักษา แต่สิ่งที่คลินิกควรดำเนินการในเบื้องต้นคือ การประเมินอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย และรีบแจ้งทีมแพทย์ฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669 เพื่อประสานการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน พร้อมระบุลักษณะอาการให้ชัดเจนว่าอยู่ในเกณฑ์ฉุกเฉินหรือไม่ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที
ในกรณีสถานพยาบาลไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิกเอกชน หากขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการแล้ว ย่อมต้องมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้ป่วยตามขอบเขตศักยภาพที่ตนมี ในทางหลักการ คลินิกไม่มีสิทธิปฏิเสธผู้ป่วยทันที โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยแสดงอาการวิกฤต

นอกจากนี้ นางสาวสุรีรัตน์ยังให้ความเห็นในมุมของผู้ป่วยและครอบครัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ในระบบสุขภาพไทย คือ ความไม่รู้ของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ หรือ สิทธิยูเซป (UCEP) หากพิจารณาจากเคสนี้ ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ และมีอาการไม่ดีจนต้องหาที่รักษาอย่างเร่งด่วน แต่กลับต้องนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปคลินิก ทั้งที่อาการดังกล่าวเข้าข่ายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ที่สามารถขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 ได้
“อาจเพราะความตื่นตระหนก หรือไม่ทราบว่ามีสิทธิรักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ทำให้ครอบครัวตัดสินใจพาไปคลินิกใกล้บ้านด้วยตนเอง แทนการขอความช่วยเหลือจากระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จนทำให้เกิดความสูญเสีย เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่ประชาชนจำนวนมากยังไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ และไม่รู้ว่าอาการแบบไหนจัดว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน” สุรีรัตน์ แสดงความคิดเห็น
จากกรณีผู้ป่วยถูกคลินิกปฏิเสธการรักษาในภาวะฉุกเฉิน นางสาวสุรีรัตน์ ชี้ว่า หน่วยงานรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์เรื่อง สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ อย่างต่อเนื่อง เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉิน วินาทีชีวิต คือสิ่งสำคัญที่สุด และผู้ป่วยควรได้รับการดูแลทันที ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
6 อาการเข้าข่ายภาวะฉุกเฉินวิกฤต
- หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
- หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรงหายใจติดขัดมีเสียงดัง
- ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
- เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
- แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก และอาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต
- ระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
ขั้นตอนการใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่
- ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
- โรงพยาบาลประเมินอาการและคัดแยกระดับความฉุกเฉิน
- ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล
- กรณีเข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤต จะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิ UCEP ทันทีแต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
- กรณีไม่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤตให้รีบประสานโรงพยาบาลตามสิทธิหากประสงค์รักษาต่อต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
ทั้งนี้ การที่คลินิกปฏิเสธการรักษา หรือส่งตัวผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตนั้น นอกจากจะเป็นการกระทำที่ขาดจริยธรรมแล้ว ยังเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ซึ่งมีบทกำหนดโทษให้สถานพยาบาลเอกชนแห่งใดปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) หรือเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ป่วย ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง