อาคารรัฐไม่ต้องขออนุญาต : ช่องโหว่กฎหมายที่อาจแลกด้วยชีวิต

Getting your Trinity Audio player ready...
อาคารรัฐไม่ต้องขออนุญาต : ช่องโหว่กฎหมายที่อาจแลกด้วยชีวิต

จากกรณีตึก สตง. ถล่มกลางกรุง จุดกระแสคำถามถึงความปลอดภัย เนื่องจากในกฎหมายมีข้อยกเว้นว่า อาคารรัฐไม่ต้องขออนุญาต ก่อสร้างตามกฎหมายควบคุมอาคารทั่วไป ทำให้โครงการขาดการตรวจสอบจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งยังมีปัญหาในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและประสิทธิภาพ สภาผู้บริโภคเสนอทบทวนระบบกฎหมาย อาคารของรัฐควรถูกตรวจสอบเท่าเทียมกับเอกชน พร้อมเสนอแนวทางตั้งกองทุนกลางจัดทำ EIA อย่างอิสระ เพิ่มอำนาจติดตามผลระยะยาว รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ

ช่วงที่ผ่านมามีประเด็นปัญหาเรื่อง “การก่อสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐ” เกิดขึ้นเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้ ส.ส. พรรคประชาชนออกมาเปิดเผยเรื่องอาคารคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สูง 28 ชั้น ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ด้วยความสูงและขนาดของถนนที่อาจไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด หรือกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่สร้างความสูญเสียต่อชีวิตโดยไม่อาจประเมินค่าได้

นำไปสู่คำถามที่สะท้อนปัญหาของระบบราชการไทย ว่าเหตุใดอาคารเหล่านี้จึงได้รับอนุญาตให้ก่อสร้าง ทั้งที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือเป็นการก่อสร้างที่ดูเหมือนจะไม่ได้มาตรฐาน

ยกเว้นการขออนุญาต = ไม่ปลอดภัย

เพื่อไขข้อสงสัยต่าง ๆ ในเรื่องนี้ สภาผู้บริโภค ชวนพูดคุยกับ พรพรหม โอกุชิ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย ผู้ช่วยให้ความกระจ่างกับเราว่า ตามกฎหมายแล้ว อาคารรัฐไม่ต้องขออนุญาตก่อสร้าง เพราะตาม “กฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน หรือกำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2550” กำหนดให้หน่วยงานของรัฐสามารถก่อสร้างอาคารได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตก่อสร้างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เช่น เทศบาล หรือ อบต.) เหมือนภาคเอกชน แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคาร และกระบวนการภายในของรัฐอย่างเคร่งครัด โดยต้องแจ้งแบบแปลน รายละเอียดการก่อสร้าง เช่น ขนาดระยะร่น ความสูง ฐานราก ฯลฯ รวมไปถึงมาตรการความปลอดภัยจากอัคคีภัยและภัยพิบัติ

อย่างไรก็ตาม การกำหนดให้ อาคารรัฐไม่ต้องขออนุญาต ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ทั้งทำให้เกิดช่องโหว่ในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย เพราะแม้แต่อาคารของเอกชนที่ถูกควบคุมเข้มงวด ก็ยังก่อปัญหามากมายในปัจจุบันทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อม ความหนาแน่น แออัด การจราจร หรือการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการก่อสร้างบางประการทำให้มาตรฐานความปลอดภัยถูกลดลงไปด้วย ดังนั้น อาคารรัฐบางแห่งที่ได้รับการยกเว้นจึงมีโอกาสที่จะสร้างผลกระทบต่อประชาชนมากกว่าอาคารที่ขออนุญาตและปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด

“การไม่ขออนุญาตก่อสร้างของหน่วยงานอาจสร้างผลกระทบร้ายแรงกว่าที่คาดไว้ เช่น กรณีตึก สตง. ถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ทั้งที่อาคารใกล้เคียงหลายแห่งไม่ได้รับความเสียหายหรือเสียหายเพียงเล็กน้อย ชี้ให้เห็นถึงข้อสงสัยเรื่องการออกแบบโครงสร้าง มาตรฐานวิศวกรรม และการควบคุมงาน” พรพรหมแสดงความเห็น

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องขาดการตรวจสอบถ่วงดุลจากภายนอก เนื่องจากหน่วยงานรัฐกลายเป็นผู้วางแบบ ผู้ก่อสร้าง ผู้ตรวจรับ เองทั้งหมด นำไปสู่ปัญหาอาคารรัฐทรุด รั่ว ฝ้าถล่ม (ดังเช่น กรณีอาคารสัปปายะสภาสถานหรือรัฐสภาที่เคยมีข่าวหลังคารั่ว) รวมไปถึงก่อสร้างล้ำแนวเขตผิดกฎหมาย เรื่องระยะร่นของอาคาร หรืออื่น ๆ อีกมากมาย

คำถามคือ…ใครจะรับผิดชอบ หากโครงสร้างเหล่านั้นไม่ปลอดภัย?

ใครจะท้วงติง หากตึกนั้นละเมิดสิทธิชุมชนโดยรอบ?

กระบวนการ EIA ใช้ไม่ได้จริง

เมื่อถามถึงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พรพรหม ให้ข้อมูลว่า หากเป็นการก่อสร้างอาคารของรัฐที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือประชาชน เช่น เป็นโรงงาน โรงพยาบาล สนามบิน อาคารชุด จำเป็นต้องผ่าน “การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม” หรือ EIA และรับฟังความเห็นประชาชนด้วย

แต่ปัญหาสำคัญคือ รายงาน EIA มักจัดทำขึ้นเพื่อให้ “ผ่านตามเงื่อนไขกฎหมาย” ไม่ได้เน้นการป้องกันผลกระทบจริง เนื่องจากการทำ EIA นั้น ไม่ได้มีหน่วยงานกลางที่กำกับดูแลอย่างชัดเจน แต่ผู้ประกอบการสามารถจ้างบริษัทใดก็ได้ที่ได้รับการรับรอง ให้เป็นผู้จัดทำรายงาน EIA ได้ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บริษัทเอกชนส่วนใหญ่จะว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้ทำ EIA ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกิด “ความลำเอียง” เพราะที่ปรึกษาไม่กล้าวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลบที่อาจทำให้ EIA ไม่ผ่าน ที่อาจทำให้ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ หลังจากทำรายงาน EIA แล้ว ก็ไม่มีการติดตามผลอย่างจริงจัง ไม่มีการตรวจสอบว่าโครงการดำเนินตามมาตรการป้องกันผลกระทบตามที่ระบุไว้หรือไม่ ส่งผลให้เกิด “รายงานดูดี แต่ปฏิบัติแย่”

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา นำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ มากมาย เช่น การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นมักทำในลักษณะ เร่งรีบ ไม่โปร่งใส ให้ข้อมูลที่ซับซ้อน การตรวจสอบจากประชาชนทำได้ยาก เพราะคนในพื้นที่ไม่ได้รับข้อมูล หรือไม่เข้าใจในเนื้อหา ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองกับโครงการ ส่งผลให้กระบวนการล่าช้าแต่ไม่ป้องกันความเสียหาย กล่าวคือถึงแม้ใช้เวลานานในการอนุมัติ EIA แต่ไม่สามารถป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมได้จริง เช่น กรณีเหมืองแร่ โรงไฟฟ้า เขื่อน ซึ่งหลายแห่งแม้ผ่าน EIA แต่ยังสร้างผลกระทบชุมชน

ถึงเวลาทบทวนกฎหมาย: อาคารของรัฐก็ต้องถูกตรวจสอบ

สำหรับแนวทางการแก้ไข พรพรหม เสนออย่างตรงไปตรงมาว่า “อาคารของรัฐควรต้องขออนุญาตก่อสร้างเช่นเดียวกับเอกชน เพื่อให้มีกระบวนการกลั่นกรองอย่างละเอียด และควรเปิดให้สามารถตรวจสอบได้โดยองค์กรอิสระและให้ประชาชน” หรือหากไม่ขออนุญาตต้องจัดให้มี “การตรวจแบบ” โดยคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระก่อนสร้าง เช่น วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย กรมโยธาธิการ คณะกรรมการควบคุมอาคารกลาง เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรมีการเปิดเผยรายละเอียดการก่อสร้างต่อสาธารณะ (Open Data) เช่น แบบก่อสร้าง ราคากลาง ผู้ควบคุมงานบริษัทรับเหมา เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา

ส่วนเรื่องการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA นั้น พรพรหม มองว่า ต้องแยกอำนาจการจ้างจัดทำ EIA ออกจากเจ้าของโครงการ โดยเสนอให้จัดตั้งกองทุนอิสระ ที่มีผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการ และกรรมการต้องมาจากกระบวนการสรรหาเพื่อให้เกิดความเป็นกลางในการพิจารณาและประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยให้เก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการเข้ากองทุน สำหรับการใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการพิจารณาเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการพิจารณา

นอกจากนี้ ควรเพิ่มอำนาจและงบประมาณให้การติดตามผลหลังผ่าน EIA ด้วยเนื่องจาก EIA ไม่ใช่กระบวนการครั้งเดียวแต่ควรทำเป็นวงจร (EIA Lifecycle) โดยต้องครอบคลุมทั้ง การเฝ้าระวัง การแจ้งเตือนเมื่อเกิดผลกระทบ การตรวจสอบ ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมาย หลังโครงการเริ่มดำเนินการ หากไม่สามารถติดตามผลกระทบได้ อาจเกิดความเสียหายสะสมที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เช่น การปนเปื้อนดิน น้ำ หรือผลกระทบที่จะเกิดต่อสุขภาวะของประชาชน

และที่สำคัญ คือการปรับปรุงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นให้ประชาชนมีอำนาจต่อรองและมีอำนาจในการตัดสินใจร่วมใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เวทีที่โปร่งใส และมีตัวแทนชุมชนร่วมพิจารณา โดยอาจพิจารณาเปลี่ยนจากระบบรวมศูนย์แบบราชการ เป็นระบบคณะกรรมการพิจารณารายงาน EIA ที่มีตัวแทนจากภาคประชาชน ชุมชนท้องถิ่น และนักวิชาชีพอิสระ มีอำนาจร่วมในการตัดสินใจอนุมัติหรือไม่อนุมัติโครงการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สส.ปชน. แฉคอนโดทหาร สูง 28 ชั้น ผุดกลางชุมชน ผิดกฎกระทรวง ชาวบ้านค้าน แต่ EIA ผ่าน

กฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน หรือกำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2550

" target="_blank" rel="noreferrer noopener">งามหน้า รัฐสภาหมื่นล้าน หลังคารั่ว-ฝ้าถล่ม

แก้กฎหมายควบคุมอาคาร : ความปลอดภัยหรือผลประโยชน์?