ยิ่งโต ยิ่งอันตราย ‘ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร’ สินค้าที่ กม.ตามไม่ทัน

ยิ่งโต ยิ่งอันตราย 'ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร' สินค้าที่ กม.ตามไม่ทัน

แม้ตลาด ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องหลังความหวังเรื่องสุขภาพและความงาม กลับซ่อนความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตไว้มากมาย เพราะการลักลอบผสมสารอันตรายยังเป็นปัญหาซ้ำซากที่แก้ยาก ทั้งช่องโหว่ทางกฎหมายและการโฆษณาเกินจริงที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิม

ตลาด ‘ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร’ ขยายตัวแรง ท่ามกลางกระแสสุขภาพและความงาม

ปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพ ความงาม และการชะลอวัยกันมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าตลาดในประเทศไทยปี 2567 พุ่งสูงถึงกว่า 83,330 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นอีกเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภควัยทำงานและ Gen Z ที่เข้าถึงข้อมูลและช่องทางออนไลน์ได้ง่าย

จากข้อมูล บทวิเคราะห์ ธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ของวิจัยธุรกิจ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เติบโตอย่างโดดเด่น มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยในปี 2567 อยู่ที่ราว 83,330 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนสำคัญจากกระแสการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การเข้าถึงช่องทางออนไลน์ที่สะดวกและกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภควัยทำงานและเจนเนอเรชั่น ซี (Gen Z)

ทั้งนี้ จากผลการสำรวจของบริษัท Kantar ในปี 2565 พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อรับประทานมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพแบบองค์รวม (29%) สัดส่วนรองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม (21%) ผลิตภัณฑ์เสริมโปรตีน (19%) ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน (8%) ผลิตภัณฑ์เพื่อควบคุมน้ำหนัก (7%) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น บำรุงสายตา บำรุงกระดูกและข้อ บำรุงสมอง และการนอนหลับ (16%) ตามลำดับ

เมื่อ ‘คำโฆษณา’ ทำผู้บริโภคพลาดโอกาสรักษา

แม้ตลาดจะเติบโต แต่ก็ยังคงมีปัญหาซ้ำซาก นั่นคือการลักลอบใส่สารที่มีฤทธิ์ทางยาลงในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อหวังให้เห็นผลลัพธ์ตามที่กล่าวอ้าง สารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นยาควบคุมพิเศษ ซึ่งหากได้รับในปริมาณมากหรือเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ร่างกายเสียสมดุล การทำงานของอวัยวะล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

การโฆษณาเกินจริงเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ร้ายแรงไม่แพ้การใส่สารอันตราย เพราะการอ้างสรรพคุณที่เกินจริงอาจทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถรักษาโรคได้ ซึ่งส่งผลให้หลายคนเลือกที่จะพึ่งพาผลิตภัณฑ์เหล่านี้แทนการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ และอาจทำให้การรักษาล่าช้าหรืออาการแย่ลงได้

เฝ้าระวังเท่าไหร่ ก็ยังเกิดปัญหาซ้ำ ๆ

แม้ว่า ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ลักลอบผสมสารอันตราย และการโฆษณาเกินจริงมาตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการแพร่กระจายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้นั้น ภก.ภาณุโชติ ทองยัง อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้ให้ความเห็นถึงประเด็นนี้ว่า เพราะปัญหาช่องโหว่ของกฎหมายที่ถูกเขียนมาอย่างยาวนาน ทำให้อำนาจหน้าที่ของภาครัฐไม่ครอบคลุมและไม่เท่าทันปัญหาที่เกิด รวมถึงบทลงโทษที่ถูกบังคับใช้นั้น น้อยเกินกว่าจะทำให้ผู้ประกอบการเกรงกลัวต่อกฎหมาย ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น สภาผู้บริโภคได้เสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 แต่ยังอยู่ในวาระการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี

ประเด็นสำคัญใน พ.ร.บ.อาหารที่ต้องแก้ไขคือ เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เรื่องการเพิ่มบทลงโทษที่มากขึ้นสำหรับการโฆษณาเกินจริง รวมไปถึงการควบคุมการโฆษณาสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งหากมีผู้ใดโฆษณาอาหารที่มีข้อความไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือใช้ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมและส่วนรวม ก็จะมีการเพิ่มบทลงโทษที่หนักขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดปัญหาการโฆษณาอวดอ้างเกินจริงได้

“การปรับแก้ พ.ร.บ. อาหาร ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริงและทำให้เจ้าหน้าที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง คาดหวังว่า พ.ร.บ. ที่ทันสมัย และคุ้มครองผู้บริโภคได้จริงน่าจะคลอดออกมาได้สักที” ภก.ภาณุโชติกล่าว

3 เช็กลิสต์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ให้ชัวร์ก่อนซื้อ

ในเมื่อกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ ผู้บริโภคจึงต้องเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาผู้บริโภคแนะนำให้ใช้ 3 เช็กลิสต์สำคัญนี้เพื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ

  1. โฆษณาเกินจริงหรือไม่ อ่านฉลากและโฆษณาอย่างละเอียด หากมีคำอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น รักษา ป้องกัน หรือ ฟื้นฟู ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยา และอาจไม่มีประสิทธิภาพตามที่กล่าวอ้าง
  2. ได้รับคำแนะนำจากแพทย์แล้วหรือยัง หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยาระหว่างยา
  3. มีเลข อย. ถูกต้องและน่าเชื่อถือหรือไม่ ตรวจสอบเลข อย. บนฉลากว่ามีอยู่จริงและตรงกับชื่อผลิตภัณฑ์หรือไม่ ที่เว็บไซต์ของ อย. หรือแอปพลิเคชัน Oryor Smart Application

ทั้งนี้ หากใครได้รับปัญหาด้านสุขภาพจากอาหาร ยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สามารถติดต่อไปที่สายด่วนของ อย. ที่เบอร์ 1556 และหากที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือหากไม่มีความคืบหน้า สามารถร้องเรียนมาที่สภาผู้บริโภค โทร 1502 หรือช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ tcc.or.th และสามารถร้องเรียนกับหน่วยงานประจำจังหวัดของสภาผู้บริโภค ทั้ง 20 จังหวัด โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.tcc.or.th/tcc-agency/

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง