Ribbon

รมต.สำนักนายกฯ พร้อมร่วมมือสภาผู้บริโภค ขับเคลื่อน นโยบายผู้บริโภคเชิงรุก

รมต.สำนักนายกฯ พร้อมร่วมมือสภาผู้บริโภค ขับเคลื่อน นโยบายผู้บริโภคเชิงรุก

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 สภาผู้บริโภค เข้าพบ สันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางขับเคลื่อนงานและ นโยบายผู้บริโภคเชิงรุก โดยรัฐมนตรีฯ ย้ำว่าปัญหาผู้บริโภคเป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ พร้อมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากสภาผู้บริโภคเพื่อนำไปดำเนินการต่อ

สันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมร่วมมือสภาผู้บริโภค ขับเคลื่อน นโยบายผู้บริโภคเชิงรุก

ในการหารือ สภาผู้บริโภคนำโดย สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงานสภาผู้บริโภค ได้นำเสนอข้อมูลภารกิจและศักยภาพเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคที่ก่อตั้งตาม พ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ปัจจุบันมีสมาชิก 360 องค์กรใน 59 จังหวัด ช่วยเหลือคดีผู้บริโภคแล้ว 339 คดี (ตั้งแต่เริ่มทำงาน 1 ก.ค. 2564 – ก.ย. 2568) คิดเป็นมูลค่าความช่วยเหลือกว่า 700 ล้านบาท มีทนายความที่ขึ้นเบียนกับสภาผู้บริโภคกว่า 193 คน และมี 9 จังหวัดที่สามารถฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้โดยตรง พร้อมตั้งเป้าขยายกลไกคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมอีกประมาณ 38 จังหวัดที่มีองค์กรสมาชิกของสภาผู้บริโภค

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคได้พัฒนาศักยภาพด้านการผลักดันการเสนอนโยบายใหม่ที่มีผลกระทบผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันได้มีการทำนโยบายเร่งด่วน 3 ด้าน ได้แก่ 1. ปัญหาภัยออนไลน์และสแกมเมอร์ ผลักดันให้แพลตฟอร์มโซเชียลและตลาดออนไลน์ (e-Marketplace) ต้องยืนยันตัวตนผู้ขายผ่านแนวทาง “รู้จักผู้ขาย” Know Your Merchant (KYM) และมีกลไกรับผิดชอบต่อความเสียหาย เพื่อลดปัญหาสินค้าไม่มีมาตรฐานและการหลอกลวงข้ามพรมแดน 2. สัญญาเช่า – ค่าน้ำค่าไฟห้องพักที่เป็นธรรม โดยขอให้ยืนยันหลักเก็บค่าน้ำและค่าไฟตามอัตราที่หน่วยงานภาครัฐกำหนด รวมทั้งห้องพัก – อพาร์ตเมนต์ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ผู้เช่า 3. ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือเลมอน ลอว์ (Lemon Law) กรณีผู้บริโภคพบความเสียหายหรือชำรุดบกพร่องหลังซื้อรถใหม่หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ ที่หลังการนำไปซ่อมแล้ว ไม่สามารถกลับมามีสภาพ หรือประสิทธิภาพเท่าสินค้าใหม่ โดยพรบ.นี้จะทำ ให้ผู้บริโภคมีสิทธิเปลี่ยนคันใหม่หรือรับเงินคืน โดยขอให้รัฐบาลเร่งผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา รวมถึงการยกระดับ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค และ พ.ร.บ.อาหาร โดยปรับให้สอดคล้องหลักการสากล และปิดช่องโหว่การบังคับใช้

ด้าน สันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นพ้องและพร้อมขับเคลื่อนหลายประเด็นการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะการดูแลค่าไฟ – ค่าน้ำในห้องพักและอพาร์ตเมนต์ว่า ผู้ประกอบการไม่มีอำนาจนำไฟของรัฐไปคิดขายต่อเกินอัตราที่กำหนด จึงต้องทบทวนสัญญาที่ไม่เป็นธรรมให้ชัด และลงโทษผู้ประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมทั้งย้ำเป้าหมายลดค่าครองชีพผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและผู้มีรายได้น้อยที่เช่าพักอาศัย

สำหรับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก รัฐมนตรีฯ ระบุว่าจะผลักดันให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา โดยเห็นว่าบางเรื่องสามารถออกกฎหรือประกาศลำดับรองเพื่อคุ้มครองเร่งด่วนก่อน ส่วนประเด็นความชำรุดบกพร่องสินค้า จะนำข้อเสนอของสภาผู้บริโภคไปหารือทั้งของสภาและชั้นกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม สารีทิ้งท้ายว่า สภาผู้บริโภคพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อย่างใกล้ชิด ทั้งในเชิงเรื่องร้องเรียน คดีความ นโยบาย และการสร้างเครือข่ายผู้บริโภคให้ครอบคลุมในทุกจังหวัด เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรักษาประโยชน์ของตนได้ในพื้นที่ พร้อมยกย่องแนวทางของรัฐมนตรีฯ ว่าเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับเสียงของผู้บริโภค และมีเจตนารมณ์ชัดเจนในการผลักดันนโยบายคุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีของรัฐบาลในการขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมยืนยันว่าสภาผู้บริโภคจะร่วมเป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคให้เทียบเท่าสากล

เนื้อหาข่าวที่เกี่ยวข้อง