Ribbon

รถยนต์ไฟฟ้าไทยโต ระบบคุ้มครองยังไม่ทัน สวนทางต่างประเทศ

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่กลไกคุ้มครองผู้บริโภคยังล่าช้าและตามไม่ทัน ส่งผลให้เกิดข้อร้องเรียนจำนวนมากเกี่ยวกับคุณภาพรถยนต์ไฟฟ้า บริการหลังการขาย อะไหล่ขาดแคลน และการประกันภัยที่ไม่ชัดเจน สะท้อนช่องว่างสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่มีกลไกคุ้มครองเข้มแข็งและรองรับเทคโนโลยีใหม่โดยตรง รวมถึงยังมีกฎหมายเลมอนลอร์ร่วมดูแลผู้บริโภคอย่างทันท่วงที

ทั้งนี้เมื่อประเมินในช่วงปี 2566–2567 ไทยเป็นหนึ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตสูงมากในภูมิภาคนี้ สร้างยอดจดทะเบียนสะสมแล้วกว่า 200,000 คัน ขณะที่ผู้ผลิตอย่าง เนต้า (NETA) สามารถสร้างยอดจดทะเบียนมากกว่า 25,000 คัน ภายในไม่ถึงสองปี แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ นำมาซึ่งเสียงร้องเรียนจำนวนมาก สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องกว่า 200 ราย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 พบปัญหาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ อะไหล่ขาดแคลนและศูนย์บริการล่าช้า รวมถึงมีปัญหาในเรื่องการจดทะเบียนและออกป้ายขาวล่าช้า ตลอดจนเงื่อนไขประกันไม่ชัดเจนและมูลค่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงผิดปกติ

จากปัญหาทั้งหมดแสดงถึง “ช่องว่างสำคัญ” ของระบบกำกับดูแลรถยนต์ไฟฟ้าในไทย โดยมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้องในเรื่องการขับเคลื่อนมาตรการ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรงต่อ การเยียวยาผู้บริโภค

บทเรียนจากต่างประเทศ เทคโนโลยีใหม่ต้องมีระบบคุ้มครอง “ทันเวลา”

ประเทศไทยได้มุ่งผลักดันโครงการรถยนต์ไฟฟ้าและวางให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า แต่หลายมาตรการโดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจน ซึ่งจากโครงการวิจัยระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้า โดยผศ.ดร.มานนท์ สุขละมัย ภาควิชาครุศาสตร์เครื่องกล คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า พบว่าแต่ละประเทศมีมาตรการผลักดันและคุ้มครองผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนและมีกลไกคุ้มครองที่มีความเข้มแข็ง

สำหรับประเทศนอร์เวย์ เป็นประเทศผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งมาตรการส่งเสริมและระบบคุ้มครองที่เข้มข้น ทั้งยกเว้นภาษีซื้อและภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นเวลาหลายปี ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงหรือถูกกว่ารถใช้น้ำมัน พร้อมส่งเสริมลดค่าทางด่วนและที่จอดรถ 50–100% และการอนุญาตใช้เลนรถโดยสาร (HOV lane) รวมถึงลงทุนสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จเร็วทุก 50 กม. ทั่วประเทศ และตั้งเป้าหมายให้รถใหม่ 100% ต้องเป็นรถที่ปล่อยพลังงานสะอาด (Zero-emission) ภายในปี 2568

ทางด้านกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ได้ใช้มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกของรถยนต์ไฟฟ้า (United Nations Economic Commission for Europe: UNECE) รวมถึงมาตรฐานและความปลอดภัยแบตเตอรี่ (UN R100) พร้อมการรับประกันแบตเตอรี่ขั้นต่ำ 8 ปี/160,000 กม. โดยมีหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค Forbrukerrådet (Norwegian Consumer Council) ทำหน้าที่รับร้องเรียนและตรวจสอบคุณภาพสินค้าและบริการโดยตรง รวมถึงมีคดีตัวอย่างจากแบรนด์ เทสลา ที่มีการอัปเดตซอฟแวร์ ทำให้ความเร็วชาร์จลดลง จึงถูกสั่งให้ชดเชยผู้ใช้รายละกว่า 136,000 โครนนอร์เวย์ สะท้อนระบบคุ้มครองผู้บริโภคที่มีความเข้มแข็ง

สำหรับประเทศจีน ได้มีมาตรการส่งเสริมให้ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งให้สิทธิพิเศษจดทะเบียนเร็วกว่ารถน้ำมันในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น รวมถึงการยกเว้นภาษีซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและลดค่าธรรมเนียมประจำปี การมุ่งพัฒนาเครือข่ายชาร์จระดับประเทศ ทั้งระบบชาร์จแบบธรรมดาและการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Fast Charger) รวมถึงสถานีชาร์จแบบความเร็วสูงสุด (ultra-fast charger) อีกทั้งมุ่งเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จให้มีมากขึ้นและจัดทำโครงการนำร่องโครงการที่ปรับให้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีอยู่กลายเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานเคลื่อนที่ เพื่ออัดฉีดไฟฟ้ากลับคืนสู่ระบบ (Grid) ในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Vehicle-to-Grid :V2G) ในเมืองใหญ่ทั่วประเทศเพื่อสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า

ทางด้านกลไกคุ้มครองผู้บริโภค มีมาตรการที่เข้มงวดเรื่องมาตรฐานแบตเตอรี่และระบบความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้า ตามกฎหมายระดับชาติและมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำสากล (UN R100) รวมถึงภาครัฐบังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบการรีไซเคิลแบตเตอรี่และการจัดการแบบเตอรี่หลังหมดอายุตามกฎหมายเฉพาะ รวมถึงมีระบบติดตามสถานีชาร์จแบบเรียลไทม์และกฎหมายกำกับการคิดค่าไฟและมิเตอร์ชาร์จอย่างโปร่งใส

ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า โดยลดหย่อนภาษี (Tax Credit) สูงสุด 7,500 ดอลลาร์ สำหรับรถประกอบในสหรัฐฯ และใช้ชิ้นส่วนตามเกณฑ์ การลงทุนเครือข่ายสถานีชาร์จแบบรวดเร็ว (fast charger) ทั่วประเทศภายใต้กองทุนโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จที่เข้าถึงได้ทั่วประเทศ รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง

ทางด้านกลไกคุ้มครองผู้บริโภค มีทั้งมาตรการจากกฎหมายเลมอน ลอร์ (Lemon Law) หรือเรียกว่า พ.ร.บ. ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ขายรับผิดชอบหากสินค้าชำรุดบกพร่องตั้งแต่ต้น ซึ่งกฎหมายมีความเข้มแข็งในแทบทุกรัฐ อีกทั้งหากรถเสียอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคมีสิทธิได้เงินคืนหรือเปลี่ยนคันใหม่ รวมถึงมีหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคและหน่วยงานต่างๆ ทำหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัย การเรียกคืน และโฆษณาที่เอาเปรียบผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด พร้อมบังคับผู้ผลิตเปิดข้อมูลความปลอดภัยและระบบช่วยขับ

สหราชอาณาจักร ได้มีมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งป้ายทะเบียนแถบสีเขียว สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาด (zero-emission) เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น เข้าพื้นที่โซนที่ใช้พลังงานสะอาดแบบฟรีและคิดค่าธรรมเนียมต่ำ พร้อมจัดทำค่าไฟชาร์จบ้านที่มีราคาถูกมากช่วงกลางคืน (6–7 p/kWh) เพื่อร่วมจูงใจให้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเน้นขยายสถานีชาร์จปลายทาง เช่น ห้าง ร้านอาหาร โรงแรม

ทางด้านกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีกฎหมายคุ้มครองผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมทั้งการรับประกัน ความปลอดภัยและข้อมูลการชาร์จ องค์กรผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ทำหน้าที่ช่วยรับเรื่องร้องเรียนและให้คะแนนผู้ผลิต รวมถึงบังคับให้ใช้มาตรฐานความปลอดภัย (UNECE) สอดคล้องกับประเทศต่างๆ ในยุโรป

ประเทศอินโดนีเซีย มีมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ได้วางเป้าหมายประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจำนวน 400,000 คัน และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 1.7 ล้านคัน ในช่วงปี 2564-2568 ร่วมสร้างฐานการผลิตระดับภูมิภาค พร้อมปรับลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และผู้ที่ปรับรถยนต์จากสันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า การอุดหนุนค่าไฟสถานีชาร์จและสนับสนุนการติดตั้งชาร์จบ้าน พร้อมใช้จุดแข็งจากการเป็นแหล่ง “นิกเกิลรายใหญ่ของโลก” ผลักดันอุตสาหกรรมแบตเตอรี่

ทางด้านกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าโดยหน่วยงานรัฐ มาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง และข้อกำหนดด้านอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ หน่วยงานภายใน (BPKN) ร่วมรับเรื่องร้องเรียนผู้บริโภคโดยตรง

ประเทศเวียดนาม ได้มีมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า โดยภาครัฐสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศ เช่น แบรนด์วินฟาสต์ในด้านภาษีและการผลิตในประเทศ รวมถึงการลงทุนสถานีชาร์จทั่วประเทศ ที่มีขนาด 11–250 kW พร้อมระบบบริการแบบครบวงจรของผู้ผลิตรายเดียว  

ทางด้านกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ระบบรับร้องเรียนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรงผ่านช่องทางของผู้ผลิต เช่น แบรนด์วินฟาสต์ (VinFast) รวมถึงมีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ ได้เริ่มดำเนินการใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 มุ่งเพิ่มความเข้มงวดต่อสินค้าเทคโนโลยี

ไทยเน้นมาตรการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า

สำหรับประเทศไทย ได้มีมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV 3.0) ระยะหนึ่งในช่วงปี 2565 – 2568 ซึ่งมีเงื่อนไขหากเอกชนนำเข้าในช่วงปี 2565 – 2566 จะต้องผลิตชดเชยในปี 2567 อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แต่หากไม่สามารถผลิตได้ทันตามแผน จะขยายไปในปี 2568 ที่ต้องผลิตในอัตรา 1:1.5 เท่า เช่น หากนำเข้า 100,000 คัน ต้องผลิตชดเชย 150,000 คันภายในปี 2568

ทางด้านสิทธิประโยชน์และเงื่อนไข สำหรับแบรนด์ที่เข้าร่วมมาตรการนำเข้ารถยนต์ระหว่างปี 2565-2566 จะได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% หรือลดลง 6% โดยผู้ประกอบการยานยนต์จะได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน ซึ่งจ่ายให้ภายหลังจากรถได้จำหน่ายและจดทะเบียนโดยประชาชนแล้ว แต่หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขและผู้เข้าร่วมมาตรการไม่สามารถผลิตชดเชยได้ตามกำหนด กรมสรรพสามิตจะดำเนินการเรียกคืนเงินอุดหนุน พร้อมดอกเบี้ย เรียกเก็บภาษีที่ลดให้คืน และเรียกเก็บค่าปรับอีก 1 เท่าของค่าภาษี

ผู้บริโภคอย่าดูแค่ราคา ต้องดูบริการ อะไหล่ประกัน

บทเรียนสำคัญสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายใต้กลไกคุ้มครองผู้ซื้อยังไม่ชัดเจน โดยผู้บริโภคไม่ควรพิจารณาจาก “ราคาและโปรโมชั่น” เท่านั้น แต่ควรตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมตรวจสอบความพร้อมของศูนย์บริการและบริการหลังการขายทั่วประเทศ รวมถึงพิจารณาเรื่องสัญญาการรับประกัน โดยเฉพาะแบตเตอรี่ ระบบขับเคลื่อนและระบบไฟฟ้าแรงดันสูงให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ

ขณะเดียวกันควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้นำเข้าและศูนย์บริการ ทั้งทุนจดทะเบียน แผนบริการระยะยาว แผนการคุ้มครองผู้บริโภคหากเกิดปัญหาและติดตามนโยบายรถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง  

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้ผลักดันให้ประเทศไทยมี กฎหมาย เลมอน ลอร์ (Lemon Law) หรือ ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า โดยหากผู้บริโภคพบความเสียหายหรือชำรุดบกพร่องหลังซื้อรถใหม่หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ ที่หลังการนำไปซ่อมแล้ว ไม่สามารถกลับมามีสภาพ หรือประสิทธิภาพเท่าสินค้าใหม่ โดยหากมีกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ผู้บริโภคมีสิทธิเปลี่ยนคันใหม่หรือรับเงินคืนได้ เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งกฎหมายเลมอน ลอร์ กำลังอยู่ในขั้นตอนนำเสนอเข้าสู่รัฐสภา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง