
สภาผู้บริโภค หารือร่วมกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ ซีไอบี (CIB) ผนึกกำลัง ปิดช่องโหว่ภัยออนไลน์ ผลักดันการตรวจสอบตัวตนผู้ขาย ยกระดับมาตรการป้องกันเชิงระบบ ควบคู่การสื่อสารเตือนภัยเชิงรุก ลดความเสี่ยงผู้บริโภค
การรับมือภัยออนไลน์ที่ซับซ้อนและกระทบผู้บริโภคเป็นวงกว้าง ทำให้การทำงานของหน่วยงานต้องผนึกกำลังเสริมคุ้มครองผู้บริโภคอย่างรอบด้าน สภาผู้บริโภคได้หารือร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์จริงและกำหนดแนวทางความร่วมมือในการป้องกันและลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะปัญหาการหลอกลวงผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล การซื้อขายออนไลน์ที่ไม่สามารถตรวจสอบตัวตนผู้ขายได้ และรูปแบบอาชญากรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามพฤติกรรมผู้บริโภค
พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ซีไอบี) ระบุว่า สถิติการร้องเรียนและคดีอาชญากรรมออนไลน์สะท้อนชัดว่าการบังคับใช้กฎหมายเพียงปลายทางไม่เพียงพอ แม้ตำรวจจะสามารถดำเนินคดีและปิดเพจหรือแพลตฟอร์มที่เข้าข่ายหลอกลวงได้มากขึ้น แต่ขบวนการมิจฉาชีพยังคงปรับเปลี่ยนรูปแบบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการขายสินค้า หลอกให้โอนเงิน หรือใช้ระบบเก็บเงินปลายทางเป็นเครื่องมือสร้างความเสียหาย ซึ่งต้นตอสำคัญมาจากการขาดกลไกป้องกันตั้งแต่ต้นทางและการตรวจสอบตัวตนผู้ขายอย่างแท้จริง
รองผู้บังคับการฯ ระบุด้วยว่า หากยังมีประชาชนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง ย่อมสะท้อนว่าทั้งกติกาและการสื่อสารของรัฐยังไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้เพียงพอ ดังนั้น การทำงานร่วมกับสภาผู้บริโภคซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคและเห็นปัญหาจากข้อร้องเรียนจริง จึงมีความสำคัญในการถอดบทเรียนและพัฒนามาตรการป้องกันเชิงระบบ ไม่ใช่เพียงการไล่ตามจับกุมเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว
ด้าน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า จากข้อมูลร้องเรียนของสภาผู้บริโภคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาซื้อขายออนไลน์อยู่ในสัดส่วนสูง ทั้งกรณีของไม่ตรงปก ไม่ได้รับสินค้า การคืนเงินล่าช้า รวมถึงการหลอกลวงที่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งและแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยความท้าทายสำคัญคือการมีผู้ขายจำนวนมากทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ทำให้ผู้บริโภคขาดที่พึ่งเมื่อเกิดข้อพิพาท และยากต่อการติดตามตัวผู้กระทำผิดมารับผิดชอบตามกฎหมาย
เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า การหารือครั้งนี้จึงมุ่งไปที่การทำงานร่วมกันในหลายมิติ ตั้งแต่การผลักดันให้แพลตฟอร์มดิจิทัลมีระบบแสดงและยืนยันตัวตนผู้ขายโดยใช้เอกสารที่ตรวจสอบได้ภายใต้การกำกับของหน่วยงานรัฐ การเชื่อมโยงข้อมูลจากคดีและข้อร้องเรียนเพื่อใช้เป็นฐานในการป้องกันความเสียหาย ตลอดจนการใช้ข้อมูลจากระบบขนส่งและแพลตฟอร์มเพื่อตรวจจับความผิดปกติ เช่น กรณีการจัดส่งสินค้าที่ผู้บริโภคไม่ได้สั่งซื้อ
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการร่วมมือกันสื่อสารเตือนภัยและยกระดับความรู้เท่าทันของผู้บริโภค โดยพัฒนาสื่อสาธารณะที่เข้าถึงง่าย สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้สื่อของประชาชนในปัจจุบัน รวมถึงแนวคิดการสอดแทรกการให้ข้อมูลด้านความปลอดภัยทางดิจิทัลในกิจกรรมหรือเวทีต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตั้งคำถามและไม่หลงเชื่อพฤติกรรมที่น่าสงสัย
ขณะเดียวกัน การหารือยังครอบคลุมถึงแนวทางการจัดให้มีเวทีติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และการเชื่อมโยงการทำงานของหลายหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายและการกำกับดูแล เพื่อพัฒนากลไกกลางที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ภัยออนไลน์ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะบุคคล แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานกำกับดูแล แพลตฟอร์มธุรกิจ และองค์กรผู้บริโภค เพื่อสร้างระบบคุ้มครองที่ทำงานได้จริง ลดช่องว่างของกฎหมาย เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองตั้งแต่ต้นทาง ก่อนความเสียหายจะเกิดขึ้น ไม่ใช่หลังจากตกเป็นเหยื่อแล้ว



