Ribbon

ผู้บริโภคเฮ ศาลฎีกาชี้ ถูกมิจฯ ดูดเงินบัตรเครดิต ไม่ต้องชดใช้

17 ธันวาคม 2568 มีการเผยแพร่คำพิพากษาศาลฎีกายกฟ้องผู้ถือบัตรเครดิต ชี้ผู้บริโภคไม่ต้องรับผิด หากถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลบัตรเครดิต ไปรูดซื้อสินค้า พร้อมวินิจฉัยว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ธนาคารเจ้าของบัตรต้องเป็นผู้พิสูจน์ว่าใครเป็นผู้ใช้บัตรเครดิต ไม่สามารถสันนิษฐานได้โดยอัตโนมัติว่าเจ้าของบัตรเป็นผู้ใช้ ถือเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการคุ้มครองผู้บริโภค ย้ำเตือนให้สถาบันการเงินต้องพัฒนาระบบความปลอดภัย การยืนยันตัวตน และการตรวจสอบการทุจริตอย่างรัดกุมมากขึ้น

นายสุรกิจ สิงหะพล เจ้าหน้าที่กฎหมายและคดี สภาผู้บริโภค กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวนับเป็นการวางหลักการสำคัญในการดำเนินคดีผู้บริโภค และเป็นการสร้างมาตรฐานการพิสูจน์ความเสียหายในคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้บัตรเครดิต โดยศาลได้วางหลักการทางกฎหมายไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าของบัตรเครดิตที่มีชื่อปรากฎไว้บนบัตรเครดิตต่อมามีการใช้งานบัตรเครดิตและทำธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้น ศาลได้มีการพิจารณาว่าไม่อาจนำไปสู่การสันนิษฐานความรับผิดของผู้ถือบัตรได้อย่างทันที เนื่องจากธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าผู้ถือบัตรเป็นผู้ใช้บัตรดังกล่าว หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย

สำหรับหลักการดังกล่าวสะท้อนแนวคิดสำคัญของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและหลักความเป็นธรรมในสัญญา โดยผู้บริโภคซึ่งตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือภัยทุจริตทางการเงิน ไม่ควรถูกผลักภาระให้ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอก หรือจากความบกพร่องของระบบรักษาความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยงของผู้ให้บริการทางการเงิน

“การที่ผู้บริโภคมีชื่อเป็นเจ้าของบัตรเครดิต ไม่ได้ความหมายว่า จะเป็นผู้ที่ทำธุรกรรมเสมอไป เนื่องจากกฎหมายไม่ได้ระบุรวมทั้งหมดว่าเจ้าของบัตรผิดเสมอไป หากธนาคารไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเจ้าของบัตรทำรายการ ถือว่าเจ้าของบัตรไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ดังกล่าว” นายสุรกิจ กล่าว

ทั้งนี้ รูปแบบคดีลักษณะดังกล่าวถือว่ามีความซับซ้อนทั้งในเชิงข้อเท็จจริงและเทคนิคทางการเงิน ผู้บริโภคอยู่ในสถานะที่มีอำนาจต่อรองด้อยกว่าสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง โดยหากกำหนดภาระให้ผู้บริโภคต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองในทุกกรณี ถือเป็นการเพิ่มภาระเกินสมควร และไม่สอดคล้องกับหลักความเป็นธรรม หลักการคุ้มครองผู้บริโภค และเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการ ดังนั้นสถาบันการเงินจึงควรเป็นฝ่ายรับผิดชอบหลักป้องกันและรักษาระบบป้องกันการทุจริตให้มีความรัดกุม ทันสมัย มีมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้มีการถ่ายโอนความเสี่ยงหรือผลักภาระความเสียหายไปยังผู้บริโภคที่มีการใช้บริการโดยสุจริต

นายสุรกิจ ย้ำว่า สภาผู้บริโภคจะนำหลักการตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้บริโภคที่ประสบปัญหาถูกมิจฉาชีพนำบัตรเครดิตไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ตลอดจนใช้เป็นฐานในการผลักดันเชิงนโยบายต่อหน่วยงานกำกับดูแลและสถาบันการเงิน เพื่อให้มีการปรับปรุงมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัยไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำสำหรับผู้บริโภคที่เจอกับสถานการณ์ดังกล่าว ต้องดำเนินการด้วยความความรวดเร็ว โดยการแจ้งเหตุต่อธนาคารและตำรวจทันที เป็นปัจจัยสำคัญที่ศาลใช้พิจารณาว่าผู้บริโภคได้ใช้ความระมัดระวังและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต พร้อมแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการแจ้งความลงบันทึกประจำวันถือเป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมเอง รวมถึงสามารถดำเนินการร้องเรียนได้ผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งผ่านศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ หมายเลข 1441 และสามารถแจ้งได้เพิ่มเติมผ่านสภาผู้บริโภค 1502 หากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินการพิจารณาของธนาคาร

สำหรับปี 2568 ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนเรื่องภัยทุจริตทางการเงิน ซึ่งมีผู้บริโภคถูกดูดเงินจากบัตรเครดิต สร้างความเสียหาย มีมูลค่าสูงถึง 17 ล้านบาท พร้อมได้ดำเนินการตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง