
ทลายขบวนการนำนมหมดอายุ มาขายซ้ำบนออนไลน์ ยึดของกลางกว่า 13,000 ชิ้น ห่วงสินค้าที่ขายออกไปแล้ว ยังไร้ระบบเรียกคืน สภาผู้บริโภคชี้ต้องมีระบบเรียกคืนและยืนยันตัวตนผู้ขาย
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เข้าบุกทลายโรงงานเถื่อน พบขบวนการลบและแก้ไขวันหมดอายุนมกล่อง เพื่อนำมาจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ยึดของกลางกว่า 13,000 ชิ้น หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ซื้อผลิตภัณฑ์นมยูเอชที (UHT) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แล้วพบว่ามีสีและกลิ่นผิดปกติ แตกต่างจากสินค้าที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อทั่วไป สภาผู้บริโภคสะท้อนการร้องเรียนผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญนำไปสู่การจับกุมสินค้าผิดกฎหมาย ย้ำต้องเร่งระบบเรียกคืนและยืนยันตัวตนผู้ขาย
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า ผู้กระทำผิดรับซื้อนมกล่องที่ใกล้หมดอายุหรือหมดอายุแล้วมาคละกันในราคากล่องละประมาณ 1 บาท คัดเลือกเฉพาะกล่องที่สภาพสมบูรณ์ แล้วทำการลบวันเดือนปีหมดอายุเดิมแล้วพิมพ์วันที่ใหม่เพื่อจำหน่ายออนไลน์ในราคากล่องละ 10 บาท โดยมีการกระทำอย่างต่อเนื่องมาแล้วราว 2 ปี สะท้อนถึงช่องโหว่สำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะสินค้าที่ขายออกไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนได้ทั้งหมด เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีระบบเตือนภัยและเรียกคืนสินค้าที่ชัดเจนและมีผลบังคับใช้จริง ทำให้สินค้าที่ไม่ปลอดภัยยังคงหมุนเวียนอยู่ในตลาดออนไลน์และพร้อมส่งถึงมือผู้บริโภค
กลโกงหลากหลาย ผู้บริโภคเฝ้าระวังอย่างเดียว “ไม่เป็นธรรม”
ปัจจุบันผู้บริโภคเผชิญรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อนมากขึ้น ทั้งการปลอมแปลงฉลาก การแก้ไขวันหมดอายุ การโฆษณาเกินจริง และการขายสินค้าคุณภาพต่ำในราคาถูกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การให้ผู้บริโภคต้องตรวจสอบทุกอย่างด้วยตนเองเพียงฝ่ายเดียวจึงไม่เป็นธรรมและเพียงพอ
สภาผู้บริโภคได้ผลักดันนโยบาย “ยืนยันตัวตนผู้ขาย” หรือ e-KYM (Know Your Merchant) เพื่อสร้างระบบที่ทำให้ผู้ขายออนไลน์ต้องเปิดเผยตัวตนที่ตรวจสอบได้ เพิ่มความโปร่งใสและลดโอกาสการฉ้อโกง โดยมีสาระสำคัญ 4 ประเด็น คือ
- รู้ตัวตน: บังคับผู้ขาย (ทั้งบุคคลและนิติบุคคล) แสดงชื่อ-ที่อยู่-เบอร์โทร และบัญชีธนาคารบนหน้าร้านออนไลน์ทันที
- ลดกลโกง: แพลตฟอร์มต้องร่วมรับผิดชอบ ตรวจสอบผู้ขายก่อนอนุญาตให้ลงโฆษณา
- เชื่อมั่นคุณภาพ: สินค้าควบคุมต้องแสดงเครื่องหมาย มอก. หรือ อย. ให้ชัดเจนบนหน้าเว็บ
- เคลียร์ง่าย: สนับสนุนการใช้บัญชีธนาคารเฉพาะสำหรับการค้าออนไลน์ เพื่อความโปร่งใสในการตามตัว
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคได้เร่งผลักดัน ระบบเตือนภัยและเรียกคืนสินค้าอันตรายที่ทำได้จริง เพื่อให้เมื่อพบสินค้าที่ไม่ปลอดภัย จะสามารถประกาศเตือน เรียกคืน และนำออกจากตลาดได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคต้องรับภาระผลกระทบเพียงฝ่ายเดียว
ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องซื้อสินค้าออนไลน์ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้าให้ชัดเจน สังเกตบรรจุภัณฑ์และวันหมดอายุอย่างละเอียด ไม่หลงเชื่อสินค้าราคาถูกผิดปกติ หรือคำอ้างว่าเป็นสินค้ามีตำหนิจากโรงงาน อย่างไรก็ตาม หน้าที่ตรวจสอบหลัก ยังต้องเป็นภาครัฐ ผู้ประกอบการ และแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ควรโยนภาระในการป้องกันความเสี่ยงทั้งหมดให้ผู้บริโภคเพียงฝ่ายเดียว และต้องมีกฎหมายที่เข้มแข็งและระบบเรียกคืนสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หากพบเห็นการกระทำความผิดกฎหมายในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ. 1135 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดตามกฎหมาย และหากผู้บริโภคได้รับความเสียหายต่อสุขภาพหรือสิทธิ จากการซื้อหรือบริโภคสินค้าเหล่านี้ สามารถร้องเรียนได้ที่สภาผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.tcc.or.th หรือโทรศัพท์หมายเลข 1502 ในวันและเวลาทำการ วันจันทร์–ศุกร์ เวลา 09.00–17.00 น.
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



