ทวงคืนความเป็นธรรม ภาคประชาชนร้องถาม สั่งปลด หมอสุภัทร ยุติธรรมหรือไม่

ทวงคืนความเป็นธรรม ภาคประชาชนร้องถาม สั่งปลด “หมอสุภัทร” ยุติธรรมหรือไม่

มชาย กระจ่างแสง จากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2564 กรุงเทพมหานครเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขั้นรุนแรง ประชาชนอยู่ในภาวะโกลาหล วุ่นวาย มีผู้ป่วยจำนวนมากและเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนแออัด การเข้าถึงชุดตรวจ ATK เป็นเรื่องยากลำบาก มีราคาแพง และหาซื้อไม่ได้ง่ายนัก แม้มีเงินก็ยังหาไม่ได้

ในฐานะผู้ที่ห่วงใยระบบสาธารณสุขและประชาชน นายแพทย์สุภัทร ได้ตัดสินใจนำทีมแพทย์ชนบทจากภาคใต้เข้ามาช่วยเหลือประชาชนในกรุงเทพฯ จำนวน 3 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2564

ในเวลานั้น นายแพทย์สุภัทรท่านมองว่า “ถ้ากรุงเทพฯ แตกเมื่อไหร่ คนที่เข้ามาทำงานในประเทศก็อาจจะติดโควิด แล้วถ้าไม่ได้รับการตรวจ คนก็จะย้ายกลับไปให้ญาติที่ต่างจังหวัดดูแล ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลาย อาจติดโควิดกันทั้งประเทศ” สมชาย กล่าว

สมชายชี้แจงว่า โรงพยาบาลต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งของกรุงเทพมหานคร ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลเอกชน ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้เพียงพอ ผู้ป่วยต้องรอคิวตรวจเป็นเวลานาน บางครั้งต้องรอข้ามคืน หรือนอนรอหน้าโรงพยาบาลเนื่องจากไม่มีเตียงรองรับ ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขกลับไม่ค่อยขยับตัวช่วยเหลือ หรือมีเจ้าหน้าที่ลงมาในพื้นที่กรุงเทพฯ เลย

 “คุณหมอสุภัทร เป็นผู้ที่ทำให้คนไข้เข้าถึงการรักษาได้ การซื้อ ATK มาตรวจให้คน กทม. ไม่ใช่ความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และการกระทำนี้ถือเป็นเรื่องของธรรมาภิบาลที่กระทรวงสาธารณสุขไม่ควรทำ ผมขออนุญาตย้ำตรงนี้ว่า ผมไม่ได้ปกป้องตัวบุคคลอย่างเดียว ผมคิดว่า การทําแบบนี้อาจจะทําให้ระบบจะล่มไปในในอนาคต”

กรณีคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงมีมติให้นายแพทย์สุภัทรออกจากราชการ ด้วยข้อกล่าวหา “แบ่งซื้อชุดตรวจ ATK” ชนัญชิดา ตัณฑะผลิน หนึ่งในอาสาสมัครผู้ร่วมลงพื้นที่กับทีมแพทย์ชนบทใน สะท้อนภาพสถานการณ์  และกลุ่มภาคประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ร่วมเสนอมุมมองข้อเท็จจริงว่า

“ทีมงานต้องทำงานอย่างหนักในชุด PPE (ชุดอวกาศ) ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึงเย็นหรือดึกดื่นถึง 4-5 ทุ่ม นายแพทย์สุภัทรยังคงให้ความสำคัญกับการให้ทุกคนเข้าถึงการตรวจโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะด้วยสถานะหรือสัญชาติ แม้กระทั่งแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีบัตรประชาชนก็ได้รับการตรวจ เพื่อให้ทราบผลและควบคุมการแพร่เชื้อ”

เธอเอ่ยว่าการเข้ามาของชมรมแพทย์ชนบทถูกระบุว่า เป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญ ทำให้ประชาชนในชุมชนแออัดได้รับการตรวจคัดกรองเชิงรุกและเข้าสู่กระบวนการรักษา ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลง และควบคุมการระบาดได้ ทีมของนายแพทย์สุภัทรได้ตรวจไปกว่า 100,000 ราย พบผู้ติดเชื้อกว่า 20,000 ราย มีการแจกยาเบื้องต้นและส่งต่อผู้ป่วยอาการหนักเข้าระบบการรักษา.

“ถามว่า ATK ทำไมต้องแบ่งซื้อ เพราะการลงพื้นที่แต่ละครั้ง เราไม่รู้เลยว่าหน้างานเกิดอะไรขึ้น เราวางแผนแทบไม่ได้ มีแต่ความสับสนอลหม่าน คนมาเยอะถาโถมเกินกว่าที่ประมาณการไว้ ตรงนั้นมีทั้งแรงงานข้ามชาติ คนที่ไม่รู้จะไปรับบริการตรวจทางไหน”

ข้อมูลเสริมจาก กรรณิการ์ กิจติเวชกุล จากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เอ่ยว่า การแบ่งซื้อชุดตรวจเป็นแนวปฏิบัติที่เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติที่ กรมบัญชีกลางและประกาศจากนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้ออกประกาศอนุญาตให้สามารถดำเนินการจัดซื้อได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นภาวะวิกฤตที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งถือเป็นปัญหาหน้างานจริงที่โรงพยาบาลทุกแห่งต้องเผชิญในขณะนั้น ไม่ใช่เฉพาะ นพ.สุภัทร หรือผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนเดียวที่ทำ เพราะในกลุ่มเจ้าหน้าที่จัดซื้อโรงพยาบาลอื่น ๆ ก็ทำเช่นนี้กันหมด แต่ทำไมถึงมีแต่นายแพทย์สุภัทรเท่านั้นที่ถูกตรวจสอบเรื่องนี้

“นายแพทย์สุภัทรจัดซื้อชุดตรวจ ATK ในราคาประมาณ 230 บาท ในขณะที่ กระทรวงสาธารณสุขเองเคยมีการเสนอซื้อ ATK ที่มีราคาสูงถึง 450 บาท”

พร้อมชี้ประเด็นเรื่องการสอบสวนขาดความโปร่งใสและไม่เป็นธรรม แต่นายแพทย์สุภัทรกลับไม่เคยถูกเรียกเข้าไปชี้แจงต่อคณะกรรมการ และยังไม่เคยได้รับแจ้งมติของคณะกรรมการสอบสวน

“ขอตั้งข้อสังเกตว่าการสอบสวนนี้อาจเกี่ยวข้องกับการที่นายแพทย์สุภัทรเคยวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการจัดซื้อ ATK ราคาแพง และการจัดซื้อวัคซีนล็อตสุดท้ายที่นักวิชาการจากสภาพัฒน์มองว่าไม่จำเป็น แต่ทางผู้บริหารกระทรวงสาธารณาสุขในเวลานั้นก็ยังคงยืนยันที่จะจัดให้มีการซื้อ ซึ่งต่อมาวัคซีนเหล่านั้นต้องถูกทิ้งไป เครือข่ายตั้งคำถามว่า เหตุใดกรณีนี้จึงไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจังเท่ากรณีของ นพ.สุภัทร”

กรรณิการ์ย้ำว่าการรวมตัวครั้งนี้ไม่ใช่การใช้กำลังกดดันเพื่อขัดขวางการตรวจสอบ แต่เป็นการ เรียกร้องความเป็นธรรมและความโปร่งใส ในกระบวนการตรวจสอบ โดยเตรียมนำหนังสือยื่นถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด เพื่อปกป้องนายแพทย์สุภัทร ซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ประชาชนกรุงเทพฯ พ้นจากวิกฤต

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค ร่วมแสดงจุดยืนโดยโพสต์ในเพจเฟสบุ๊คส่วนตัว  พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนตัวว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีส่วนไปช่วยคุณนิมิตร์ เทียนอุดม นพ.สุภัทร และทีมแพทย์ชนบท แพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขอีกหลายคนอย่างเป็นทางการ ในฐานะอาสาสมัครและช่วยประสานงาน ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรังสิต ชุมชน วัดในกรุงเทพมหานคร เพื่อแจ้งจำนวนอาสาสมัครที่จะเข้าช่วยทำงานในพื้นที่ชุมชนต่างๆในการตรวจ ATK คัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด ให้ยาที่จำเป็น พร้อมส่งต่อโรงพยาบาลหรือกักตัวเองอยู่ที่บ้าน

“สมัยนั้นในต่างจังหวัดเราได้อาสาสมัครสาธารณสุขหรือที่รู้จักกันในนาม อสม.ช่วยเยี่ยมบ้านวัดปรอท วัดความดัน ช่วยเหลือเพื่อผู้ป่วยเบื้องต้นได้มาก แต่ขณะที่ระบบเหล่านี้ในกรุงเทพมหานครถูกพัฒนาน้อยมาก ทำให้ชมรมแพทย์ชนบทและกลุ่มองค์กรเอกชนด้านสุขภาพ ได้ตัดสินใจสนับสนุนให้บริการตรวจสุขภาพและตรวจเชื้อโควิดด้วย ATK และ RTPCR ตรวจผู้ป่วยและคัดกรองผู้ป่วย ให้ยา ให้แยกตัวเองที่บ้าน”

“ตอนนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากของทุกคน และโดยเฉพาะผู้ที่มาช่วยทำงานในพื้นที่เนื่องจากท่ามกลางอากาศที่ร้อนทุกคนต้องใส่เสื้อมนุษย์อวกาศให้บริการ มีเพียงคุณนิมิตร์ ที่ทำงานกับผู้ติดเชื้อ ยืนยันว่าไม่ต้องกลัว ไม่ได้ติดง่าย ๆ ใส่เพียงหน้ากากอนามัย”

“ยืนยันสิ่งที่คุณหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจและคณะหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ดำเนินการเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อปัญหาด้านสุขภาพและเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยและสาธารณะ เกิดผลต่อประชาชนมากมายมหาศาล ขอให้รัฐมนตรี และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยุติการสอบสวน และคืนความเป็นธรรมให้หมอสุภัทร โดยด่วน ขอให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คุณหมอสุขุม ในสมัยนั้น ช่วยยืนยันเรื่องนี้ด้วย” เลขาธิการสภาผู้บริโภคกล่าว

นอกจากนี้ กลุ่มภาคประชาชนและเครือข่ายต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง 7 โซน 50 เขต กทม. กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิธรรมทาง มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อโรคไตแห่งประเทศไทย เครือข่ายผู้ติดเชื้อแห่งประเทศไทย สภาองค์กรชุมชน 50 เขตกรุงเทพมหานคร และชุมชนต่าง ๆ กว่า 20 แห่ง ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์เพื่อเรียกร้อง ประกอบด้วย

1.ให้คณะกรรมการเปิดเผยข้อมูลและหลักฐานการสอบสวนที่ให้ออกจากราชการว่าทำอะไรผิด ได้พิจารณาข้อมูล หลักฐาน ระเบียบสถานการณ์ขณะนั้นอย่างครบถ้วนหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะแนวทางปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด19

2. ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้ความเป็นธรรมกับ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

กรรณิการ์ ในฐานะตัวแทน ยืนยันว่าการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางการตรวจสอบ แต่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมและธรรมาภิบาล เนื่องจากเห็นถึงความผิดปกติในกระบวนการ เพราะ นพ.สุภัทร เป็นที่รู้จักในฐานะ “กรวดในรองเท้า” ของผู้บริหาร สธ. มาโดยตลอด จากการที่มักออกมาเรียกร้องสิทธิ์ให้กับผู้ป่วยและต่อต้านการบ่อนทำลายระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยข้อมูลและหลักฐานการสอบสวนทั้งหมดต่อสาธารณะ รวมถึงให้รักษาการนายกรัฐมนตรีให้ความเป็นธรรมกับ นพ.สุภัทร ด้วย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

“ฮีโร่” ผู้กู้วิกฤติ ทีมชมรมแพทย์ชนบท ในวันที่ระบบสาธารณสุข กทม.รับมือไม่ไหว