
สภาผู้บริโภค ร่วมหารือ สมอ. สร้างกลไกความร่วมมือ ปิดช่องโหว่สินค้าไม่ได้มาตรฐาน เสริมความปลอดภัยให้ผู้บริโภค มุ่งเชิงรุกแพลตฟอร์มออนไลน์
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 สภาผู้บริโภคและสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เดินหน้าสร้างกลไกความร่วมมือเชิงระบบ ปิดช่องโหว่สินค้าไม่ได้มาตรฐาน ยกระดับมาตรฐานสินค้าและเสริมความปลอดภัยให้ผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยมี เอกนิติ รมยานนท์ เลขาธิการ สมอ. และผู้บริหารจาก สมอ. พร้อมด้วย สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค และผู้บริหารของสภาผู้บริโภค เข้าร่วมหารือกำหนดแนวทางร่วมกัน ทั้งด้านการเฝ้าระวัง การตรวจสอบสินค้า และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
เอกนิติ รมยานนท์ เลขาธิการ สมอ. เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานไหลทะลักเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าตลาดของสินค้าจำนวนมากไม่มีมาตรฐานบังคับหรือไม่มีเครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดย สมอ. ได้ดำเนินการนำสินค้าที่ผิดกฎหมายออกจากระบบ แต่ร้านค้ารายใหม่ก็กลับมาขายได้อีก เนื่องจากข้อจำกัดด้านการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ จึงจำเป็นต้องผนึกความร่วมมือจากภาคประชาชน โดยเฉพาะสภาผู้บริโภคที่มีข้อมูลร้องเรียนและข้อมูลเฝ้าระวังที่สามารถแจ้งเบาะแสปัญหาได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
เอกนิติ ระบุเพิ่มเติมว่า สมอ. อยู่ระหว่างการปฏิรูประบบมาตรฐานทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การจัดทำคุณลักษณะมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ หรือสเปกมาตรฐาน โดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนาห้องปฏิบัติการ ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ไปจนถึงการติดตามสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ภาคผู้บริโภคส่งนักวิชาการเข้าร่วมเป็นกรรมการวิชาการของ สมอ. เพื่อให้มุมมองผู้บริโภคถูกบรรจุอยู่ในทุกขั้นตอน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากสภาผู้บริโภคที่ได้ส่งผู้แทนจากสภาผู้บริโภคเข้าร่วมมาโดยตลอด นอกจากนี้ สมอ. ยังมีเครือข่าย ‘สมอ. พิทักษ์มาตรฐาน’ นำร่องที่จังหวัดพิจิตรซึ่งจะทำงานเชื่อมกับเครือข่ายผู้บริโภคของสภาผู้บริโภคในพื้นที่ เพื่อผลักดันจังหวัดต้นแบบปลอดสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างจริงจัง
ด้าน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างสภาผู้บริโภค และ สมอ. เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งของระบบมาตรฐานสินค้า โดยเฉพาะประเด็นสินค้าเสี่ยงสูง ซึ่งพบปัญหาจำนวนมากจากข้อมูลร้องเรียนของสภาผู้บริโภค ทั้งกรณีไดร์เป่าผมระเบิด สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ชำรุดและไม่สามารถเปลี่ยนคืนได้ หม้อหุงข้าวหรือกระติกน้ำร้อนที่ไม่มี มอก. รวมถึงสินค้าออนไลน์ที่ไม่แสดงข้อมูลจำเป็น เช่น ฉลาก วันหมดอายุ คำเตือน หรือข้อมูลผู้ผลิต ปัญหาเหล่านี้สะท้อนว่าระบบกำกับดูแลสินค้ายังมีช่องว่างที่ต้องเร่งอุดเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้ทำงานร่วมกับ สมอ. และหน่วยงานรัฐหลายด้านในฐานะตัวแทนภาคประชาชนเพื่อผลักดันมาตรฐานสินค้าและการบังคับใช้กฎหมาย โดยได้มีผู้แทนเข้าร่วมในคณะกรรมการตามกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ระบบตั๋วร่วม พ.ร.บ.โคนม รวมถึงคณะกรรมการภายใต้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งล้วนเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อให้เสียงของผู้บริโภคถูกสะท้อนในกระบวนการกำหนดมาตรฐานและนโยบายสาธารณะ สารี ย้ำว่า การที่ สมอ. เชิญผู้แทนจากสภาผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมในคณะทำงานด้านวิชาการ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ทำให้มุมมองของผู้ใช้สินค้าเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดมาตรฐานตั้งแต่ต้นทาง
ขณะที่ มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค เสริมว่า ข้อมูลจากสภาผู้บริโภคในรอบปีที่ผ่านมา ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสินค้าไม่ได้มาตรฐานและสินค้าออนไลน์จำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ระบุฉลาก สินค้าปลอมเครื่องหมาย มอก. รวมถึงปัญหาสินค้าไม่ตรงปกที่ทำให้ผู้บริโภคเสียสิทธิและเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกส่งต่อให้ สมอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับกำหนดมาตรฐานที่จำเป็นต้องมีการบังคับใช้
สำหรับการหารือร่วมกับ สมอ. ในครั้งนี้ สภาผู้บริโภคเตรียมจัดทำหนังสือถึงแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ (e-Marketplace) และช็อปออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) เพื่อสร้างความร่วมมือให้นำสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานบังคับออกแพลตฟอร์ม เริ่มจากสินค้าเสี่ยง 3 ประเภท ได้แก่ ไดร์เป่าผม ปลั๊กไฟ และพาวเวอร์แบงก์ พร้อมติดตามผลการนำออกจากแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง โดย สภาผู้บริโภค และ สมอ. ยังได้หารือการสร้างระบบแจ้งเบาะแสแบบเร็ว การพัฒนาหลักสูตรความรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสินค้าไม่ได้มาตรฐานให้เครือข่ายผู้บริโภคในพื้นที่ต่าง ๆ และผลักดันให้แพลตฟอร์มต้องยืนยันตัวตนคนขายอย่างเข้มงวด เพื่อลดปัญหาการติดตามหาผู้กระทำผิดไม่ได้
นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานเห็นพ้องร่วมกันว่าการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคออนไลน์จำเป็นต้องทำงานแบบเชิงรุก ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐาน การเฝ้าระวังสินค้า การเชื่อมข้อมูลร้องเรียน จนถึงร่วมกันผลักดันแพลตฟอร์มออนไลน์ให้รับผิดชอบมากขึ้น เพื่อให้มาตรฐานสินค้าเชื่อมโยงกับการตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายอย่างครบวงจร โดยความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการบูรณาการพลังของภาครัฐและภาคประชาชน เพื่อผลักดันให้สินค้าที่ผู้บริโภคใช้ในชีวิตประจำวันมีความปลอดภัย โปร่งใส และได้มาตรฐาน ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



