
ภายหลังที่สภาผู้บริโภคเผยแพร่ข่าว ลูเซิร์น คลินิก ที่มีผู้บริโภคร้องเรียนว่า ถูกชักชวนซื้อคอร์สเสริมความงาม วงเงินกว่า 6 ล้านบาท ล่าสุด ลูเซิร์น คลินิก ได้ชี้แจงมายังสภาผู้บริโภค ระบุผู้บริโภคสมัครใจทำสัญญาและชำระเงินเอง
จากกรณีที่สภาผู้บริโภคเผยแพร่ข่าว ลูเซิร์น คลินิก (Luzern Clinic) เสนอขายคอร์สเกินความจำเป็น ตามที่ผู้บริโภคร้องเรียน ซึ่งอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากมีผู้บริโภคร้องเรียนที่สภาผู้บริโภคว่า ถูกชักชวนให้ซื้อคอร์สและบริการเสริมความงาม ทำให้ต้องจ่ายเงินไปทั้งหมด 6 ล้านบาท จากการใช้บริการทั้งหมด 4 ครั้ง ระหว่างวันที่ 13 – 27 กุมภาพันธ์ 2568 ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ผู้ประกอบการ ลูเซิร์น คลินิก (Luzern Clinic) ได้ส่งหนังสือชี้แจงกับสภาผู้บริโภค โดยระบุใน “หนังสือชี้แจงว่าคำกล่าวอ้างของผู้บริโภคไม่เป็นความจริง และการทำสัญญาเป็นไปโดยสมัครใจของผู้บริโภค”
สำหรับหนังสือชี้แจงของ ลูเซิร์น คลินิก (Luzern Clinic) ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ผู้บริโภคพบพนักงานของลูเซิร์น คลินิก ที่บูธภายในห้างเซ็นทรัลเวสเกต โดยคลินิกได้เชิญชวนคนทั่วไปพร้อมมีเงื่อนไขว่าผู้ใดมีบัตรเครดิตมาแสดงจะได้ของชำร่วยฟรี ซึ่งวันดังกล่าวผู้บริโภคได้มาเดินเที่ยวที่ห้างดังกล่าวและเกิดความสนใจจึงเข้ามาพบพนักงานของลูเซิร์น คลินิก และได้สอบถามรายละเอียดของการบริการ และพนักงานของลูเซิร์น คลินิก ได้อธิบายให้ผู้บริโภคฟังจนผู้บริโภคสนใจและได้นั่งสนทนากันเป็นเวลาถึงชั่วโมง พนักงานได้สอบถามประวัติผู้บริโภคว่า มีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ ผู้บริโภคแจ้งว่า มีโรคประจำตัวคือเป็นแพนนิคและไขมัน โดยผู้บริโภคอ้างว่า โรคแพนนิคได้รักษาหายแล้วและอยากนวดกระซับหน้าท้องเพื่อลดไขมันกับ ลูเซิร์น คลินิก หลังจากนั้นผู้บริโภคจึงได้ตกลง ชำระเงินจำนวน 10,000 บาท โดยชำระด้วยบัตรเครดิต พนักงานของลูเซิร์น คลินิก จึงได้พาผู้บริโภคไปใช้บริการนวดกระชับสัดส่วนที่ลูเซิร์น คลินิก ที่ชั้น G ในระหว่างที่ทำกระซับสัดส่วนอยู่ คลินิกชี้แจงผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการทำที่ผู้บริโภคไม่เจ็บตัวและอยากจะซื้อคอร์สเกี่ยวกับการทำหน้าเพิ่ม ทำให้พนักงานของลูเซิร์น คลินิก ได้เสนอคอร์ส VIP EXCLUSIVE ว่า ถ้าซื้อคอร์ส 1 ล้านบาท สามารถใช้วงเงินได้ถึง 4 ล้านบาท ผู้บริโภคสนใจและได้ตกลงซื้อคอร์สดังกล่าว และเมื่อทำเสร็จผู้บริโภค จึงได้มาชำระเงินจำนวน 1 ล้านบาท ให้แก่พนักงานงานของลูเซิร์น คลินิก ที่เคาท์เตอร์โดยการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต และได้ตกลงทำสัญญากับลูเซิร์น คลินิก โดยผู้บริโภคได้ตรวจสัญญาอย่างละเอียดและพนักงานของลูเซิร์น คลินิกก็ได้อธิบายเนื้อหาของสัญญาและการใช้คอร์ส
ต่อมาในช่วงต้นเดือน มกราคม ผู้บริโภคได้เข้ามาใช้บริการที่คลินิกอีก และเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ทางผู้บริโภคมาใช้บริการอีกครั้งและสนใจซื้อคอร์สเพิ่มเติม โดยพนักงานเสนอ “คอร์ส PROMOTION หัตถการ” ราคา 1,500,000 บาท โดยผู้บริโภคก็สนใจและได้ตกลงซื้อคอร์สดังกล่าว แต่วันดังกล่าวผู้บริโภคมีเงินไม่พอจึงขอชำระก่อนจำนวน 1,260,000 บาท ซึ่งทางลูเซิร์น คลินิก ได้ตกลงผู้บริโภคจึงทำสัญญากับลูเซิร์น คลินิกและทำสัญญาในวันเดียวกัน ส่วนวันที่ 31 มกราคม 2568 ผู้บริโภค ชำระส่วนที่เหลืออีก 240,000 บาท พร้อมแสดงหลักฐานการโอนเงินให้พนักงานดู
เหตุการณ์หลังจากนั้น วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการที่ลูเซิร์น คลินิก และมีความพึงพอใจต่อการบริการของลูเซิร์น คลินิก อีก จึงได้เสนอขอซื้อคอร์สเพิ่มอีก พนักงานของลูเซิร์น คลินิก จึงได้เสนอคอร์สว่า สามารถทำได้ทุกอย่างยกเว้นศัลยกรรมเป็นเงินจำนวน 2,500,000 บาท ผู้บริโภคจึงตกลงซื้อคอร์สดังกล่าวเพิ่ม โดยได้ชำระเงินให้แก่ลูเซิร์น คลินิก โดยซึ่งการชำระเงินแต่ละครั้งผู้บริโภค ได้มาชำระเงินที่เคาท์เตอร์ของลูเซิร์น คลินิก ก่อนที่ผู้บริโภคจะชำระเงินพนักงานของลูเซิร์น คลินิก จะอธิบายเรื่องคอร์สทุกครั้งซึ่งผู้บริโภค ก็เข้าใจเป็นอย่างดีและไม่ได้โต้แย้งใด ๆ
ข้อมูลต่อเนื่องในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้บริโภคซื้อคอร์สเพิ่มเติมอีก 1 รายการ คือ คอร์ส PRO หัตถการ BREAK DOWN FAT และ FAT BODY ในราคา 1,000,000 บาท และทำสัญญาชำระผ่านบัตรเครดิต รวมทั้งหมด ผู้บริโภคชำระเงิน 6 ครั้ง เป็นเงินรวมประมาณ 6,010,000 บาท ซึ่งเมื่อผู้บริโภคได้ชำระเงินค่าคอร์สต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคได้ซื้อไว้ ทางลูเซิร์น คลินิก จะนำเงินไปซื้ออุปกรณ์ไว้สำหรับคอร์สของผู้บริโภคไว้โดยเฉพาะเพื่อเตรียมไว้สำหรับผู้บริโภคตอนที่มาทำคอร์ส และในการมาใช้บริการแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อครั้ง ทั้งนี้ผู้บริโภคเป็นผู้ยืนยันวงเงินและดำเนินธุรกรรมผ่านธนาคารเองทั้งหมด ส่วนพนักงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเพิ่มวงเงินหรือใช้โทรศัพท์ของผู้บริโภค
ทั้งนี้ ลูเซิร์น คลินิก ไม่ได้กระทำการใดอันเป็นการหลอกลวง ฉ้อฉล หรือปกปิดข้อเท็จจริงในการทำสัญญากับผู้บริโภค ผู้บริโภคทำสัญญาด้วยความสมัครใจและผู้บริโภคได้รับบริการจากลูเซิร์น คลินิก แล้ว สัญญาจึงมีผลผูกพันธ์ผู้บริโภค ลูเซิร์น คลินิก ไม่ได้ทำผิดสัญญากับผู้บริโภค ผู้บริโภคไม่มาใช้บริการเองและเกิดจากความสมัครใจของผู้บริโภคเอง จึงไม่ใช่ความบกพร่องของลูเซิร์น คลินิก ส่วนกรณีผู้บริโภคจะอ้างว่า ผู้บริโภคป่วยมีโรคประจำตัวเป็นแพนนิคซึ่งเป็นโรคประจำตัวของผู้บริโภคเอง ซึ่งศาลก็ยังมิได้มีคำสั่งว่าผู้บริโภคเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถหรือไร้ความสามารถ
นอกจากนั้นโรคดังกล่าวเป็นเหตุส่วนตัว ไม่ใช่ความผิดของลูเซิร์นคลินิก ลูเซิร์น คลินิก จึงไม่ต้องรับผิดต่อผู้บริโภค และโรคดังกล่าวสามารถใช้บริการคลินิกของลูเซิร์น คลินิกได้ ทั้งนี้ ลูเซิร์น คลินิก จะไม่รับเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังโรคภูมิแพ้ตัวเองและมะเร็ง รวมถึงพนักงานของลูเซิร์น คลินิก ไม่ได้กล่าวอ้างว่า ลูเซิร์น คลินิก สามารถรักษาโรคไขมันพอกตับให้แก่ผู้บริโภคได้ ผู้บริโภคได้อ้างกับพนักงานของลูเซิร์น คลินิก ว่า กลัวทางบ้านของผู้บริโภคจะทราบเรื่องการมาใช้บริการกับทางลูเซิร์น คลินิก
อีกทั้งคลินิกยังมีลูกค้ารายอื่นที่ซื้อคอร์สเสริมความงามราคาสูงเป็นสิบล้านอยู่หลายราย ทั้งนี้จากหนังสือชี้แจง ลูเซิร์น คลินิกระบุว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ความบกพร่องของคลินิก และคำกล่าวอ้างของผู้บริโภคไม่เป็นความจริงตามที่คลินิกชี้แจงไว้
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคได้นำเสนอการชี้แจงนำข้อมูลของผู้ประกอบการ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายอย่างครบถ้วน



