ชง กมธ. วุฒิสภา หนุนเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภค

กมธ.พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พบสภาผู้บริโภค พร้อมสนับสนุนขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภค หารือแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน สภาผู้บริโภคเสนอเร่งตรวจสอบการประมูลคลื่นฯ กระทบสิทธิผู้บริโภคอย่างหนัก

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และคณะอนุกรรมการธิการการคุ้มครองผู้บริโภค นำโดยนายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด รองประธานคณะกรรมาธิการฯ และประธานคณะอนุกรรมการธิการการคุ้มครองผู้บริโภค ได้เข้าพบคณะผู้บริหารของสภาผู้บริโภค นำโดย สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค หารือแนวทางการขับเคลื่อนและสนับสนุนงานคุ้มครองผู้บริโภค

สารี กล่าวว่า สภาผู้บริโภค ได้ก่อตั้งในปี 2564 ปัจจุบันมีเครือข่ายสมาชิก 353 องค์กร ครอบคลุม 58 จังหวัด มีหน่วยงานประจำจังหวัด 20 แห่ง และหน่วยงานเขตพื้นที่ 4 แห่ง ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2568 มีการรับเรื่องร้องทุกข์สูงถึง 15,092 เรื่อง จากเป้าหมายทั้งปี 18,000 เรื่อง โดยสามารถแก้ปัญหาให้ผู้ร้องเรียนจนยุติ ถึงร้อยละ 64 และผู้บริโภคมีความพึงพอใจต่อบริการของสภาผู้บริโภค ถึงร้อยละ 92 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำประเด็นการคุ้มครองผู้บริโภคไปดำเนินการถึง 6 เรื่อง และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลการคุ้มครองผู้บริโภค ถึง 45 ล้านครั้ง

สำหรับ 3 อันดับ เรื่องร้องเรียนของผู้บริโภค มากกว่าร้อยละ 80 เป็นปัญหาภัยออนไลน์ อันดับ 1 ด้านสินค้าและบริการ โดยเฉพาะปัญหาการซื้อของออนไลน์ อันดับ 2 ด้านการเงิน การธนาคาร ปัญหาเงินกู้ออนไลน์ หนี้บัตรเครดิต และ 3 ด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญหาแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงผ่านมือถือ เอสเอ็มเอสหลอกลวง เป็นต้น

โดยเป้าหมายในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2568 – 2570) จะลดความเสียหายจากภัยมิจฉาชีพออนไลน์ สร้างเมืองที่เป็นธรรม (Just City) ทั้งในด้านขนส่งสาธารณะ อสังหาริมทรัพย์ บริการสาธารณะต่าง ๆ ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัย สิทธิบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียม และเด็กทุกคนเรียนฟรี 15 ปี อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค คืองบประมาณที่ไม่เพียงพอ

“ปัญหาของผู้บริโภคมีมาก และมีความท้าทายมากขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล เราต้องคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตทีดี และสนับสนุนการบริโภคที่ยั่งยืน ขณะที่งบประมาณที่ได้รับจากภาครัฐน้อยลง สวนทางกับภารกิจในการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการขยายเครือข่ายผู้บริโภคให้ครบทุกจังหวัด เพื่อทำงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค แจ้งเตือนภัยประชาชนอย่างทั่วถึง” สารี กล่าว

ด้าน อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า การขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะการแก้ปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีมาตรการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง มีเพียงสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ที่ไม่มีการขยับในการแก้ปัญหามากนัก ขณะที่การประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมล่าสุด ยังมีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการจะมีอำนาจเหนือตลาด รวมถึงประธาน กสทช. ซึ่งเป็นผู้อนุญาตให้มีการจัดประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้ ยังมีคำถามว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่

“จากผลสำรวจพบว่าแพ็กเกจการให้บริการของค่ายมือถือที่เหลืออยู่ 2 ค่ายในปัจจุบัน มีการขยับราคาเพิ่มขึ้น รวมทั้งอัตราการคิดค่าบริการในระบบเติมเงินก็มีความไม่ชัดเจน  อยากให้คณะกรรมาธิการฯ และรัฐบาลเข้ามาตรวจสอบ เพราะการประมูลคลื่นความถี่ฯ ในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบสิทธิของผู้บริโภคหนักหนาสาหัสมากขึ้น” อิฐบูรณ์ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำหรับประเด็นอื่น ๆ ที่สภาผู้บริโภคได้ผลักดันอย่างต่อเนื่อง เช่น สมาร์ทซิตี้ เมืองที่ปลอดภัย ระบบขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงได้ “20 บาททุกสาย” ที่ได้ดำเนินการแล้วใน กทม. อยากขยายให้ครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ อยากให้ภาครัฐเข้ามาร่วมสนับสนุนบริการสาธารณะที่เป็นประโยชน์กับคนทุกคน

นิฟาริด กล่าวว่า การทำงานของสภาผู้บริโภค ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างชัดเจน ทำอย่างไรจะเสนอให้หน่วยงานภาครัฐเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และสนับสนุนเรื่องงบประมาณให้กับสภาผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีสวัสดิภาพที่ขึ้น เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม นอกจากนี้ อาจหาเครือข่ายพันธมิตร หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีงบประมาณสนับสนุนโครงการ เช่น สสส. หรืองบสนับสนุนระดับจังหวัด เช่น อบจ. หรือช่องการรับบริจาคผ่านมูลนิธิต่าง ๆ ซึ่งกรรมาธิการฯ จะทำงานร่วมกับสภาผู้บริโภค เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค และสามารถแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้มากยิ่งขึ้น