
สภาผู้บริโภคเปิดช่องโหว่ ร่างกฎหมาย คืนเงินเหยื่อภัยไซเบอร์ กระทบผู้บริโภคเยียวยาล่าช้า เสนอรัฐสื่อสารเชิงรุก – ปิดช่องเงินรั่ว แก้ปัญหาเป็นระบบ
หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์การคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภายใต้พระราชกำหนดว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับปรับปรุง เพื่อกำหนดขั้นตอนและเงื่อนไขการคืนเงินให้ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างชัดเจนและรวดเร็ว ผ่านมากว่าเจ็ดเดือนพบว่ามีเงินค้างตรวจสอบกว่า 3,076 ล้านบาทในกว่า 853,000 บัญชี ตามหลักการมาตรการนี้ควรจะช่วยให้ผู้เสียหายมีช่องทางรับเงินคืนหรือคัดค้านได้ พร้อมจัดการเงินที่ไม่มีผู้เสียหายเข้ามาอ้างสิทธิ์กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม แต่สภาผู้บริโภคพบว่า ระบบคืนเงินในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัด และอาจทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากเข้าไม่ถึงการเยียวยาได้อย่างทันท่วงที
จิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค ระบุว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญของร่างกฎกระทรวง คือ การกำหนดให้ผู้เสียหายต้องติดตามข้อมูลจากราชกิจจานุเบกษาด้วยตนเองว่าคดีของตนเข้าหลักเกณฑ์การคืนเงินหรือไม่ และยังมีกรอบเวลาจำกัดในการยื่นคำร้องที่ 90 วันเท่านั้น
“คนทั่วไปไม่ได้เข้าเว็บไซต์ราชกิจจาฯ เป็นประจำ ต่อให้มีสิทธิ แต่ถ้าไม่รู้ข่าว ก็อาจหลุดจากระบบได้” จิณณะ ระบุ พร้อมชี้ว่าการอ้างว่าประกาศแล้วถือว่าทุกคนต้องรู้ สวนทางกับความเป็นจริงของประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ถนัดใช้เทคโนโลยีหรือไม่มีอินเทอร์เน็ต
ทั้งนี้ ได้เสนอให้ภาครัฐเปลี่ยนแนวคิดจากการรอให้ประชาชนไปค้นหาข้อมูลเอง มาเป็นการสื่อสารเชิงรุกกับผู้เสียหายโดยตรง ผ่านธนาคาร หน่วยรับแจ้งเหตุ หรือระบบข้อความแจ้งเตือน
“ภาครัฐมีข้อมูลผู้เสียหายอยู่ในมือรัฐอยู่แล้ว และรัฐควรเป็นฝ่ายติดต่อ ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนวิ่งตามสิทธิของตัวเอง” จิณณะ กล่าว พร้อมเสนอให้กำหนดหน้าที่ของหน่วยงานที่รับแจ้งเหตุครั้งแรกให้ต้องแจ้งสิทธิและขั้นตอนการขอคืนเงินอย่างชัดเจนแก่ผู้เสียหาย
ด้านโครงสร้างการแก้ปัญหา จิณณะเห็นว่า รัฐยังเน้นจัดการที่ปลายเหตุ โดยไล่จับผู้กระทำผิดหรือบัญชีม้าเป็นหลัก แต่ยังไม่มองทั้งห่วงโซ่อาชญากรรมออนไลน์ ตั้งแต่ผู้พัฒนาระบบ เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ไปจนถึงผู้ให้บริการโดเมนและเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งกรณีข้างต้น จิณณะ ระบุว่า หากไม่มีบทลงโทษคนสร้างระบบให้โกงหรือหลอกลวง ภัยออนไลน์จะไม่จบ เพราะมิจฉาชีพพัฒนากลไกได้เร็วกว่ารัฐเสมอ ทั้งนี้ เสนอให้มีความรับผิดชอบจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมากขึ้น
พร้อมกันนี้ จิณณะ ยังเสนอให้รัฐไปดักรอที่จุดที่เงินจะออกจากระบบด้วยการกำกับธุรกรรมเสี่ยง เช่น การถอนเงินสดก้อนใหญ่ หรือโอนเงินข้ามประเทศ โดยกำหนดให้ผู้เบิกถอนแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้ตรวจสอบเส้นทางเงินและอายัดความผิดปกติได้ทันเวลา เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสติดตามเงินคืนและลดความเสียหายได้อย่างเป็นรูปธรรม
จิณณะ กล่าวทิ้งท้ายว่า ความล่าช้าและความไม่ชัดเจนของระบบเยียวยา ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้บริโภคโดยตรง และยังหมายถึงเงินจำนวนมหาศาลที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้ยกระดับปัญหาภัยออนไลน์เป็นวาระแห่งชาติในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และผลักดันการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อทำให้กฎหมายช่วยประชาชนได้จริง ไม่ใช่เป็นภาระของคนที่ถูกโกง



