
ใครว่าคนรู้ทันโลกจะไม่ตกเป็นเหยื่อ เมื่อมิจฉาชีพไม่ได้มาพร้อมคำลวง แต่มาพร้อม ‘ข้อมูลจริง’ บทเรียนวินาทีเฉียดโอนเงินหมื่นคุณวิโรจน์
ปัญหาภัยออนไลน์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่จำกัดว่าผู้เสียหายต้องเป็นคนไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยีเท่านั้น เรื่องราวของ “คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนว่า ใคร ๆ ก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อได้ แม้จะเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวังแล้วก็ตาม
คุณวิโรจน์จองโรงแรมแห่งหนึ่งตามขั้นตอนปกติ ทุกอย่างดูเรียบร้อย จนเวลาผ่านไปประมาณ 2–3 สัปดาห์ ก็มีสายโทรศัพท์ติดต่อเข้ามา ปลายสายแจ้งว่ากำลังติดต่อมาเรื่องการจองโรงแรม พร้อมระบุข้อมูลได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ทั้งชื่อ–นามสกุล และหมายเลขการจอง (Booking Number) รายละเอียดที่แม่นยำเหล่านี้ ทำให้เขาเชื่อโดยไม่ลังเลว่ากำลังคุยกับเจ้าหน้าที่จริง
ช่วงเวลาที่ได้รับสายก็ยิ่งทำให้ความสงสัยลดลง เพราะเป็นระยะเวลาที่ดูสมเหตุสมผลกับขั้นตอนการดำเนินงานหลังการจอง ยิ่งเมื่อปลายสายมีข้อมูลจริงอยู่ในมือ ความระแวงก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ทั้งที่ในความเป็นจริง ข้อมูลเหล่านี้อาจหลุดออกไปได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายข้อมูลจากเว็บมืด หรือแม้แต่การรั่วไหลจากคนในกระบวนการเอง
หลังจากสร้างความน่าเชื่อถือได้แล้ว มิจฉาชีพก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ ด้วยการขอให้โอนเงินค่าที่พักล่วงหน้าเพียงครึ่งหนึ่ง โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นมาตรการป้องกันการยกเลิกการจองในภายหลัง ซึ่งอาจทำให้โรงแรมเสียประโยชน์ ฟังดูเป็นเหตุผลที่ดู “เข้าใจได้” และไม่ต่างจากแนวปฏิบัติที่หลายคนคุ้นเคย
ที่แนบเนียนไปกว่านั้น คือการแสดงบทบาทเป็นฝ่ายหวังดี มิจฉาชีพเตือนว่า “ช่วงนี้มีมิจฉาชีพเยอะนะครับ ต้องเช็กเจ้าของชื่อบัญชีปลายทางให้ดี” การพูดเช่นนี้ช่วยลดความระแวง และสร้างภาพลักษณ์ว่าปลายสายไม่มีเจตนาร้าย
จากนั้นจึงย้ำชื่อบัญชีปลายทางซ้ำ ๆ หลายครั้ง เป็นชื่อบุคคล ไม่ใช่ชื่อโรงแรม เพื่อสร้างภาพจำให้เชื่อว่า หากชื่อบัญชีตรงตามที่แจ้ง ก็แปลว่าถูกต้อง กระบวนการนี้ทำให้คุณวิโรจน์เผลอลืมหลักการสำคัญไปชั่วขณะ ว่าการโอนเงินค่าที่พักควรเป็นบัญชีในนามโรงแรมหรือบริษัท ไม่ใช่บุคคลธรรมดา
ในวินาทีที่กำลังจะกดโอนเงิน โชคดีที่สติกลับมาอีกครั้ง ความสงสัยผุดขึ้นว่าเหตุใดบัญชีปลายทางจึงไม่ใช่ชื่อโรงแรม แม้ชื่อบัญชีจะตรงตามที่ถูกย้ำหลายรอบ แต่ความไม่สมเหตุสมผลเพียงจุดเดียวก็ทำให้เขาหยุดมือไว้ได้ทัน หากช้ากว่านั้นเพียงเสี้ยววินาที เงินจำนวนกว่าหมื่นบาทอาจหายไปโดยไม่อาจเรียกคืนได้
“สติแรกผมรู้ว่าการโอนเงินต้องโอนเข้าบัญชีชื่อโรงแรม แต่การที่มิจฉาชีพหลอกล่อทำผมดั่งต้องมนต์ด้วยคำว่า เช็กดี ๆ นะครับ ต้องโอนเข้าบัญชีปลายทางที่ชื่อบุคคล ประมาณ 3 รอบ มันทำให้ผมเกือบหลงเชื่อและกดโอน แต่ไม่รู้ว่าเทวดาองค์ใดมาช่วยให้ผมฉุกคิดได้ เพราะแค่เสี้ยววินาทีถ้าเผลอกดไป เรียบร้อยเสียเงินไปเลยหมื่นกว่าบาท”
เหตุการณ์นี้ทำให้คุณวิโรจน์มองว่า ต่อให้ผู้บริโภคจะมีความรู้หรือมีภูมิคุ้มกันมากเพียงใด ก็ยังมีโอกาสตกเป็นเหยื่อได้ เพราะมิจฉาชีพไม่ได้ใช้เพียงกลโกงแบบเดิม ๆ แต่ผสมผสานข้อมูลจริงเข้ากับหลักจิตวิทยา สร้าง “กับดักทางความคิด” อย่างเป็นขั้นเป็นตอน คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงการบอกให้ประชาชนต้องระวังให้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่คือระบบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกลไกป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล ที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องเผชิญความเสี่ยงเพียงลำพัง
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคขอเตือนภัย ให้เพิ่มความระมัดระวังในการจองที่พัก โดยเฉพาะกรณีที่มีการติดต่อให้โอนเข้าบัญชีในนามบุคคล แม้ผู้ติดต่อจะมีข้อมูลการจองถูกต้องครบถ้วน หรืออ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ก็ตาม ผู้บริโภคควรตรวจสอบข้อมูลกับโรงแรมหรือแพลตฟอร์มที่จองโดยตรงทุกครั้งก่อนโอนเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

