
ความหวังของคนกรุงจำนวนมากที่เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจและการจราจรที่ติดขัด คือการได้ใช้รถไฟฟ้าเพื่อสัญจรประจำวันใน ราคา 20 บาท ตามที่รัฐบาลเพื่อไทยได้เสนอไว้ แต่เมื่อนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ต้องถูกเลื่อนออกไป สิ่งที่สะท้อนกลับมาจากสังคมจึงไม่ใช่เพียงความผิดหวัง แต่ภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ อย่างไม่มีทางเลี่ยง
แอน เป็นหนึ่งในคนกรุงที่พึ่งพารถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปทำงานจากบ้านพักอาศัยที่อยู่ชานเมืองทำให้เธอต้องต่อรถไฟฟ้าถึงสามสาย เธอคำนวณไว้แล้วว่า หากนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” นี้มีผลบังคับใช้ตามกำหนดการเดิม วันที่ 1 ตุลาคม 68 เธอจะสามารถลดค่าเดินทางได้อย่างมาก แต่เมื่อรัฐบาลประกาศเลื่อนนโยบายนี้ออกไปก่อน รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองขณะนี้ ทำให้ความหวังของเธอที่จะมีเงินเก็บมากขึ้นในแต่ละเดือนก็เลื่อนลอยเกินกว่าจะจับต้องได้
ในแต่ละวัน แอนมีค่าใช้จ่ายสูงในการเดินทางที่สูงมาก เธอต้องใช้รถไฟฟ้าถึง 3 สาย ในทุกเช้าเธอจะต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์จากหน้าหมู่บ้าน ราคา 50 บาท มาขึ้นรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพื่อเดินทางไปต่อที่สายสีม่วง ราคา 34 บาท และจากสายสีม่วงไปสายสีเงิน 32 บาท เพื่อมาที่ทำงาน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 116 บาท รวมราคาไปกลับ 232 บาท
หากนโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ได้ดำเนินการตามกำหนดการเดิม ค่าใช้จ่ายรถไฟฟ้าของเธอจะลดลงเหลือเพียง 20 บาทต่อเที่ยว หากรวมค่าเดินทางต่อวันทั้งหมดจะเหลือเพียง 140 บาท นั่นหมายความว่าเธอจะมีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นถึงวันละ 92 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้มีความหมายอย่างยิ่งในยุคที่ค่าครองชีพสูง
“พอเลื่อนออกไป สถานะของรัฐบาลอาจจะไม่กระทบแต่พวกเราประชาชน กระทบแน่นอน เพราะค่าเดินทางที่คิดว่าจะลดลง จะได้เอาไว้ใช้อย่างอื่นได้ แต่เมื่อเลื่อนออกไปเท่ากับว่าเราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มไปอีกเหมือนเดิม” เสียงสะท้อนจากพี่แอน เมื่อข่าวการได้ใช้นโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายช่างริบหรี่
แอนกล่าวว่า เธอรู้สึกเศร้ามากเมื่อได้ฟังข่าวการเลื่อนนโยบายนี้ออกไปที่ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ ที่นโยบายนี้จะเกิดได้จริง ทำให้เกิดคำถามว่า ‘เราจะต้องเสียเงินอีกกี่พันกว่ารัฐบาลจะดำเนินการ’
เธอยังมองว่าการที่รัฐบาลเลื่อนนโยบายออกไปนั้นส่งผลให้ ความน่าเชื่อถือลดลงเรื่อย ๆ และเป็นการขาดความเชื่อมั่นต่อประชาชนที่ได้วางแผนการใช้ชีวิตไว้แล้วตามประกาศเดิม เธอย้ำว่ารัฐบาลไม่ควรเลื่อนกำหนดการ และควรดำเนินการตามที่ได้ประกาศ
นอกจากปัญหาค่าใช้จ่ายแล้ว การเลื่อนนโยบายยังส่งผลกระทบในวงกว้าง เช่น ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วแบบเที่ยวไปแล้ว หรือประชาชนที่คำนวณจำนวนเที่ยวที่ต้องใช้ก่อนที่นโยบายใหม่จะมีผลบังคับใช้ นี่แสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจเลื่อนนโยบายไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ด้านเดียว แต่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย
แอนย้ำว่ารัฐบาลไม่ควรเลื่อนกำหนดการ และควรดำเนินการตามที่ได้ประกาศ แต่ถ้าเลื่อนก็ควรมีกำหนดเวลาที่แน่นอนให้ประชาชนมีความมั่นใจในนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง