
นโยบาย “รถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดวัน” ก่อนเริ่มใช้ ผู้บริโภคมีความหวังจะช่วยประหยัดค่าเดินทาง แต่ใช้จริงกลับกลายเป็นภาระที่ต้องลุ้นว่าจะได้เงินคืนเมื่อไหร่ เพราะเก็บราคาเต็ม ก่อนให้คืนทีหลัง
“เมื่อนโยบายประกาศใช้ เรารับรู้ได้ว่าต่อไปนี้จ่ายไม่เกินวันละ 40 บาท แต่ไม่มีข้อมูลชัดเจนเลยว่า ระบบจะหักเงินตามจริงก่อน แล้วค่อยจ่ายคืนภายหลัง” นี่คือประสบการณ์จริงที่ทำให้ ‘น้ำผึ้ง’ รู้สึกว่า นโยบายที่ตั้งใจจะช่วยคน กลับกลายเป็นภาระให้ผู้บริโภคต้องคอยตามว่าเมื่อไหร่จะได้เงินคืน
เช้าวันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นวันแรกที่เริ่มใช้นโยบาย รถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดวัน สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงและม่วง เธอใช้บัตรโดยสาร ประเภทบัตรแมงมุมแบบ EMV เป็นบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) รูปแบบใหม่ที่ใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานครได้ทุกสาย ได้แก่ สายสีน้ำเงิน ม่วง เหลืองและชมพู รวมถึงระบบขนส่งอื่นๆ เธอใช้เดินทางจากสถานีหลักหกไปบางซื่อ ค่าโดยสารที่ควรจะไม่เกิน 40 บาท/วัน กลับกลายเป็น 42 บาทต่อเที่ยว ขาไป 42 บาท ขากลับ 42 บาท รวม 84 บาท
เธอเริ่มสงสัยว่า “นี่ระบบผิดพลาดหรือเปล่า” เพราะรัฐบาลบอกว่าจะเก็บในราคา 40 บาทตลอดวัน จึงลองทักสอบถามเจ้าหน้าที่ และได้รับคำตอบว่า “ระบบจะตัดเงินตามจริงก่อน แล้วจะคืนภายใน 3 วันทำการ”
ปัญหาคือข้อมูลสำคัญขนาดนี้ แต่ไม่เคยถูกประกาศให้ชัดเจนล่วงหน้า กลายเป็นว่าเมื่อผู้บริโภคเจอปัญหา ต้อง “ทักถามเอง หาข้อมูลเอง” ทั้งหมด
เธอมองว่า การหักเงินตามจริงก่อนแล้วคืนภายหลัง ไม่ได้แค่ทำให้เกิดความสับสน แต่ยังกระทบค่าใช้จ่ายรายวันของคนทำงานจำนวนมาก เพราะหลายคนใช้บัตร EMV แบบเติมเงินรายสัปดาห์ ไม่ได้เติมเผื่อไว้เยอะ พอระบบหักตามจริงก่อน เงินที่เตรียมไว้ก็ไม่พอ ต้องเติมเพิ่มอีก ทั้งที่มีต้นทุนชีวิตสูงอยู่แล้ว ทั้งค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าครองชีพที่สูงลิ่วในเมืองหลวง
“เราก็เดินทางทุกวัน แต่ต้องมาคอยเช็กอีกว่า เงินคืนหรือยัง มันกลายเป็นภาระที่ไม่ควรจะมีเลยค่ะ” เธอกล่าว
3 วันทำการ แต่วันที่ 3 ยังไม่มีเงินคืน
ยิ่งไปกว่านั้น เธอเดินทางวันที่ 1 ธันวาคม 68 เจ้าหน้าที่บอกจะคืนภายใน 3 วันทำการ แต่พอถึง 3 ธันวาคม 68 เงินก็ยังไม่กลับเข้ามา รวมทั้งข้อมูลจากหลายเพจที่ประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ กลับแจ้งข้อมูลไม่ตรงกัน บางเพจแจ้ง 3 วันทำการ บางเพจบอก 1–3 วัน สะท้อนความไม่ชัดเจนของระบบที่ควรจะเป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับผู้ใช้บริการทุกคน
“เงิน 44 บาทต่อวัน ก็ไม่ใช่น้อย ๆ นะคะ”เธอจ่าย 84 บาทต่อวัน ภายใต้นโยบายที่ควรจะทำให้จ่ายไม่เกิน 40 บาทและต้องรอเงินคืน 44 บาท ภายใน 3 วัน สำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้าทุกวัน 44 บาท คือค่าอาหารหนึ่งมื้อ ค่ากาแฟ หรือค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ
นอกจากนี้ สิ่งที่เธอกังวลคือ ประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีบัตร EMV แล้วต้องจ่ายค่าโดยสารตามจริงเต็ม ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ จะซื้อตั๋วที่ตู้ หรือใช้บัตรแบบใดก็ได้ ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย นอกจากจะจำกัดเฉพาะผู้ถือบัตร EMV แล้ว ยังต้องมารอคืนเงินภายใน 3 วันทำการอีก กลายเป็นผู้ใช้บริการต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
ทำให้ “รถไฟฟ้า 40 บาท ต่อวัน” เป็นของจริง ไม่ใช่ภาระใหม่
เธอย้ำว่า สิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเธอต้องการไม่ใช่อะไรมากไปกว่า ความชัดเจนและระบบที่ใช้งานได้จริง เริ่มตั้งแต่การชี้แจงล่วงหน้าให้ชัดว่า “ระบบจะหักเงินอย่างไร และคืนเงินอย่างไร” ลดภาระที่ผู้โดยสารต้องคอยตรวจสอบยอดเองทุกวัน รวมถึงการพิจารณาให้ระบบตัดเงินแบบ 40 บาททันที เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องสำรองเงินไปก่อน และทำให้ผู้ที่ไม่มีบัตร EMV ก็สามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างเท่าเทียม
เธอหวังว่าการเดินทางสาธารณะจะเป็นบริการที่เข้าถึงง่าย โปร่งใส ไม่ใช่ต้องมาลุ้นทุกวันว่า “วันนี้ระบบจะตัดเงินเท่าไหร่” หรือ “จะได้เงินคืนเมื่อไหร่” ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
