
‘รสนา โตสิตระกูล’ จี้คณะกรรมการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน ยุติโครงการทางด่วน 2 ชั้น เอื้อเอกชนต่อสัมปทานยาว 22 ปี รัฐเสียประโยชน์ ประชาชนกระทบหนัก
นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายและประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม จัดทำข้อเรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) สั่งยุติโครงการก่อสร้าง “ทางด่วน 2 ชั้น (Double Deck)” เส้นงามวงศ์วาน–พระราม 9 ความยาว 17 กิโลเมตร เอื้อประโยชน์เอกชนต่อสัญญา 22 ปี 5 เดือน ประชาชนอ่วม รถติดหนัก 4 ปี
นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายและประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) งดพิจารณาและสั่งยุติโครงการก่อสร้าง “ทางด่วน 2 ชั้น (Double Deck)” เส้นงามวงศ์วาน–พระราม 9 ความยาว 17 กิโลเมตร ที่ได้รับรายงานว่าจะมีการพิจารณาในวันนี้ (3 ธันวาคม 2568) โดยโครงการนี้เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อหาเหตุผลในการต่ออายุสัมปทานทางด่วนให้เอกชนต่อไปอย่างยาวนานข้ามศตวรรษ จนถึงปี 2601 จากเดิมจะหมดสัญญาในปี 2578 ซึ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างร้ายแรง
สำหรับเหตุผลหลักที่ต้องยุติโครงการและไม่อนุญาตให้รัฐต่อสัญญาสัมปทานให้กับเอกชน เนื่องจากเป็นการต่อสัมปทานระยะยาวแบบไร้เหตุผล โดยอ้างว่าเอกชนจะลงทุนให้ฟรี มูลค่า 35,000 ล้านบาท และจะลดค่าทางด่วนเหลือ 50 บาท แลกกับการต่ออายุสัมปทานออกไปถึง 22 ปี 5 เดือน จากปี 2578 ไปสิ้นสุดที่ปี 2601
นอกจากนี้ หากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ส่งมอบพื้นที่ตลอดเส้นทางก่อสร้าง 17 กิโลเมตร ล่าช้ากว่า 6 เดือนตามสัญญา เอกชนมีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายเป็นอายุสัญญาสัมปทานเพิ่มขึ้นไปอีก แสดงเจตนาชัดเจนว่าเอกชนต้องการครองสัมปทานไปให้นานที่สุด รวมถึงการต่ออายุสัมปทานครั้งนี้ถือว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี ซึ่งคณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ไม่ควรอนุมัติ
นางสาวรสนา กล่าวด้วยว่า การต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนเดิมที่จะหมดอายุในปี 2578 หรือในอีก 10 ปีเท่านั้น จะทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียประโยชน์ เพราะเมื่อสัมปทานหมดอายุ ทางด่วนเกือบทุกเส้นทางจะกลับมาเป็นของรัฐ และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไม่ต้องแบ่งรายได้ให้เอกชน ปีละ 7,500 ล้านบาท เงินจำนวนนี้สามารถนำมาลดค่าทางด่วนให้ประชาชนได้ หรือแม้แต่พิจารณาให้วิ่งฟรีในบางช่วงเวลาก็ยังได้
สำหรับ “ข้ออ้างเรื่อง “ลดค่าทางด่วน” ประชาชนอาจถูกหลอกได้ เนื่องจากเอกชนเสนอการลดค่าทางด่วนในเส้นทางดังกล่าวจาก 85 บาทเหลือ 50 บาท เพื่อจูงใจประชาชน แต่การลดราคานี้อาจถูกเรียกว่าเป็นการ อัฐยายซื้อขนมยาย โดยจากเดิมเอกชนได้รับส่วนแบ่งรายได้จากรัฐ 40% แต่ภายใต้สัมปทานทางด่วน 2 ชั้น เอกชนจะได้ส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 50% หรือได้เพิ่มขึ้น 10% อีกทั้งการได้ส่วนแบ่งเพิ่ม 10% คือการที่เอกชนนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาลดค่าทางด่วนให้ประชาชนนั่นเอง โดยในระยะเวลา 22 ปี 5 เดือน เอกชนจะมีรายได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นถึง 170,000 ล้านบาท และรัฐต้องเสียประโยชน์ไป” นางสาวรสนากล่าว
ที่สำคัญ โครงการดังกล่าว ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงด้านการจราจรและความปลอดภัย โดยการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น ต้องใช้เวลาประมาณ 4 ปี ซึ่งจากผลการศึกษาของกทพ. จะทำให้รถติดเพิ่มขึ้น อย่างน้อย 20 นาที และเมื่อก่อสร้างเสร็จ ทางด่วน 2 ชั้น อาจไม่สามารถลดปัญหาจราจรติดขัดได้จริง เนื่องจากรถยังคงติดสะสมบนถนนพื้นราบ สภาผู้บริโภคจึงมองว่าโครงการนี้อาจเป็นเพียงการ “สร้างที่จอดรถเพิ่มบนทางด่วน 2 ชั้น” มากกว่า
นอกจากนี้ การก่อสร้างทางด่วนใจกลางเมืองและใจกลางเศรษฐกิจ มีความเสี่ยงอย่างมาก ทั้งความเสี่ยงที่อุปกรณ์ก่อสร้างจะถล่มลงมาทับทางด่วน เช่นเดียวกับที่เคยเกิดบนถนนพระรามสอง และความเสี่ยงด้านโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมากบนดินที่อ่อนของกรุงเทพฯ รวมถึงโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงที่ถี่ขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชุมชนตลอดเส้นทาง 17 กิโลเมตร เช่น ถูกปิดทางเข้าออก ทำให้รถดับเพลิงหรือรถพยาบาลเข้าออกไม่ได้ หากเกิดเหตุเพลิงไหม้หรือมีผู้ป่วย
สำหรับข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ประกอบด้วย การขอให้คณะกรรมการ PPP ไม่ยอมรับโครงการทางด่วน 2 ชั้น และต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง โดยส่งความเห็นไปยังคณะรัฐมนตรีให้ไม่อนุมัติการต่อสัมปทาน รวมถึง รัฐบาลชุดปัจจุบัน นำโดยนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐบาลชั่วคราวที่มีอายุการทำงานเพียง 4 เดือน จึงไม่สมควรพิจารณาอนุมัติโครงการใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศและประชาชนโดยไม่รับฟังเสียงคัดค้าน จากทั้งสภาผู้บริโภคและพรรคฝ่ายค้าน
อีกทั้ง คณะกรรมการ PPP ต้องไม่ดำเนินการตามคำสั่งของนักการเมืองและกลุ่มทุน เพื่อผ่องถ่ายประโยชน์ของประชาชนให้กลุ่มทุน โดยเฉพาะในช่วงที่สาธารณชนกำลังให้ความสนใจกับวิกฤตอื่น ๆ เช่น มหาอุทกภัยในภาคใต้
“การเร่งรัดอนุมัติโครงการนี้โดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน และการนำกระแสข่าวความเดือดร้อนจากภัยพิบัติมากลบข่าวการต่อสัมปทาน อาจทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่ารัฐบาลมีการแบ่งผลประโยชน์ของประชาชนให้กับธุรกิจเอกชน เพื่อให้เอกชน “กินรวบ” ทั้งที่ไม่มีความสามารถในการแก้ไขวิกฤตสำคัญของประเทศ เช่น วิกฤตค่าครองชีพแพงจากพลังงาน หรือวิกฤตค่าไฟแพง ดังนั้น การรออีก 10 ปี เพื่อให้สัมปทานหมดอายุ และให้ทางด่วนกลับมาเป็นของประเทศ จะเป็นการสร้างผลประโยชน์ระยะยาวที่คุ้มค่ากว่ามาก” นางสาวรสนา ระบุ



