
สภาผู้บริโภค หารือมาตรการคุ้มครองผู้เช่าซื้อรถยนต์กับไฟแนนซ์ กรุงไทย ออโต้ลีส ประสบปัญหาชำระหนี้ครบ แต่ไม่ได้รับเล่มทะเบียนตัวจริง หวังสกัดไม่ให้เกิดปัญหารูปแบบเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำอีก
วันที่ 20 สิงหาคม 2568 สภาผู้บริโภค ได้จัดการประชุมหารือแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ เพื่อหารือแนวทางคุ้มครองผู้บริโภค ภายหลังการได้รับร้องเรียนจากผู้บริโภคจำนวนมากเกี่ยวกับปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ กับบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ (ไฟแนนซ์) กรุงไทยออโตลีส เนื่องจากผู้บริโภคได้ชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแต่ไม่ได้รับคู่มือจดทะเบียนรถ หรือ เล่มทะเบียนตัวจริงคืนตามสิทธิ ซึ่งได้มีการหารือร่วมกับผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนกรมการขนส่งทางบก ผู้แทนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย ผู้แทนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนผู้บริโภค และผู้แทนทนายความ และพนักงานผู้ปฏิบัติงานสำนักงานสภาผู้บริโภค เพื่อหาแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคในระยะยาว และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดการฟ้องร้องคดีที่มีรูปแบบเดียวกันในอนาคตเกิดขึ้นซ้ำ
โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค ได้จัดประชุมหารือแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากได้รับร้องเรียนจากผู้บริโภคจำนวนมากเกี่ยวกับปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับ บริษัท กรุงไทยออโตลีส จำกัด ที่ประกอบธุรกิจไฟแนนซ์ โดยผู้บริโภคชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อ แต่ไม่ได้รับคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ตัวจริงคืนตามสิทธิ ทำให้ต้องหาแนวทางแก้ไขและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ร่วมหาแนวทางคุ้มครองผู้บริโภค และการจัดทำมาตรการป้องกันในอนาคต
“ปัญหาหลักที่พบคือ ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาการไม่ได้รับเล่มทะเบียนรถยนต์ แม้ว่าจะผ่อนชำระค่างวดจนครบแล้วก็ตาม สาเหตุหนึ่งที่ซับซ้อนคือ สัญญาเช่าซื้อของไฟแนนซ์อาจถูกนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารโดยที่ผู้บริโภคไม่ได้รับรู้ ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าเล่มทะเบียนตัวจริงอยู่กับใคร รวมถึงยังมีปัญหาเรื่องการไม่ได้รับใบเสร็จรับเงินจากการชำระค่างวด หรือใช้เวลานานกว่าจะได้รับใบเสร็จ” โสภณ กล่าว
ทั้งนี้จากหลักฐานสัญญาที่ธนาคารได้ดำเนินการสอบสวนมีสัญญาธุรกิจเช่าซื้อที่ผู้บริโภคได้ทำสัญญาไว้ได้รับผลกระทบประมาณ 3,000 สัญญา โดยประเมินว่ามีผู้เสียหายในกรณีนี้อาจมีจำนวนมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่ทราบสิทธิของตนเองและยังไม่ได้ร้องเรียนเข้ามา สำหรับคำแนะนำสำหรับผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้และอยู่ระหว่างการผ่อนชำระหนี้กับไฟแนนซ์ ไม่ควรหยุดชำระหนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงตามมาได้ จึงควรชำระหนี้ต่อไป
สำหรับการหารือเบื้องต้นร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีแนวทางนำเสนอต่อทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ควรพิจารณามาตรการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเมื่อผู้บริโภคผ่อนชำระหนี้ไปแล้ว แต่อาจเกิดความเสี่ยงที่ไม่ได้รับเล่มตัวจริง จึงควรมีข้อกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อแจ้งข้อมูลที่จำเป็นแก่ผู้บริโภคอย่างชัดเจน เช่น การอนุญาตให้ผู้บริโภคสามารถหยุดผ่อนชำระหรือระงับการจ่ายได้ หากบริษัทไฟแนนซ์ไม่มีความชัดเจนในการชำระหนี้กับธนาคารเพื่อไถ่ถอนเอกสารสิทธิ์กลับคืนมาให้ผู้บริโภค รวมถึงควรมีมาตรการยึดหน่วงหนี้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ ที่ไม่สามารถส่งมอบเอกสารสิทธิ์ให้แก้ผู้บริโภคได้ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและเชื่อมั่นในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์มากขึ้น รวมถึงมาตรการป้องกันการโอนสิทธิเรียกร้องโดยไม่เป็นธรรม เป็นต้น หรือโอนสิทธิไปให้แก่บริษัทอีกแห่ง
ขณะที่กรมการขนส่งทางบก ควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคให้ได้รับเอกสารสิทธิ์ โดยเมื่อจ่ายครบแล้วควรได้รับเอกสารสิทธิ์ แต่ที่ผ่านมาเมื่อผู้บริโภคต้องการติดตามเอกสารต้องไปฟ้องศาล ดังนั้นกรมการขนส่งทางบกจะหาแนวทางช่วยเหลือผู้บริโภคอย่างไร เพื่อไม่ให้มีกระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีในศาล และลดการฟ้องร้องคดีในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทไฟแนนซ์รายอื่น ๆ รวมถึงพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ “เล่มแทน” หรือเล่มที่ออกใหม่ตามมาตรา 10 วรรค 3 มีสถานะเสมือนเล่มจริง เพื่อให้ผู้บริโภคคลายความกังวลในการใช้ประโยชน์จากรถยนต์ได้อย่างเต็มที่
ทางด้าน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีแผนประสานหน่วยงานเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับหลักประกันที่เกี่ยวข้องกับคดี เพื่อช่วยผู้บริโภคที่มีปัญหาไม่ได้เล่มทะเบียนและหารือเกี่ยวกับข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับธนาคารที่เป็นผู้รับหลักประกันจากบริษัทไฟแนนซ์ จะมีแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจอย่างไร ส่วนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) มีแผนประสานงานผู้เสียหายแจ้งข้อมูลแก่หน่วยงาน ดำเนินคดีทางอาญากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคคาดหวังว่าข้อเสนอและการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในภาพรวม และลดภาระการฟ้องร้องคดีของผู้บริโภคในอนาคต รวมถึงป้องกันกรณีที่อาจเกิดขึ้นกับ บริษัทไฟแนนซ์รายอื่น ๆ อาจใช้รูปแบบเดียวกัน และทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบตามมา
วริษฐา ก้อนนาค รองผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธปท. พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสภาผู้บริโภค เพื่อนำไปปรับใช้กับการกำกับดูแลธุรกิจไฟแนนซ์และการป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบตามมา เนื่องจากในปัจจุบันการกำกับดูแลธุรกิจไฟแนนซ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่จะเปลี่ยนมาอยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2568 เป็นต้นไป โดย ธปท. เตรียมหารือร่วมกับ สคบ. กับแนวทางการกำกับดูแลในแต่ละด้าน
ทางด้าน พ.ต.อ.สมชาย โพธิ์สุวรรณ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กล่าวว่า บก. ปอศ. กำลังติดตามสถานการณ์ และจากการประเมินมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ทั้งพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 20 การแก้ไขหรือตกลงทั้งสองฝ่ายต้องได้รับความยินยอม ในกรณีที่การกระทำของผู้รับหลักประกันทำให้ผู้ให้หลักประกันเสียหายหรือไม่ รวมถึงพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ประเด็นที่เกี่ยวกับผู้บริหารมีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ และมาตรา 56 ระบุว่าสถาบันการเงินหรือกลุ่มบริษัทที่สนับสนุนทางการเงินจะต้องไม่ทุจริตหรือเอาเปรียบ ส่วนกรณีการไม่ส่งมอบเล่มให้แก่ผู้บริโภค จะต้องพิจารณาเหตุผลและการบริหารจัดการในบริษัท หรือในกรณีที่ไม่ส่งงบการเงินจะต้องตรวบสอบอย่างใกล้ชิดต่อไป
อย่างไรก็ตาม การประชุมหารือแนวทางคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์เกิดขึ้นมาจากผู้บริโภคจำนวนมากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ โดยเป็นผู้บริโภคที่ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว แต่ไม่ได้รับคู่มือจดทะเบียนรถยนต์คืนตามสิทธิ และเมื่อตรวจสอบพบว่า บริษัทไฟแนนซ์ กรุงไทยออโต้ลีส ได้มีการโอนสิทธิเรียกร้องให้อีกบริษัทหนึ่งคือ บริษัท เนชั่นแนล ไอรานี่ แกส จำกัด และบริษัทที่ได้รับโอนสิทธิไม่สามารถดำเนินการส่งคู่มือจดทะเบียนตัวจริงให้แก่ผู้เช่าซื้อได้ อีกทั้งจากการตรวจสอบยังพบว่า คู่มือการจดทะเบียนตัวจริงถูกนำไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจเพื่อขอสินเชื่อกับบริษัทอีกแห่งหนึ่งด้วย
ทั้งหมดจึงส่งผลกระทบทำให้ผู้บริโภคได้ชำระค่างวดรถยนต์ครบตามสัญญาเช่าซื้อ แต่ไม่ได้รับเล่มตัวจริง และบางคนได้รับเล่มแทน แต่เอกสารที่ได้รับไม่สามารถนำไปต่อภาษีรถยนต์ได้ ทำให้สภาผู้บริโภคได้มีการเจรจา ประสานงานและดำเนินคดีและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สภาผู้บริโภคชนะคดีและในปัจจุบันอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนผู้บริโภคอีกส่วนอยู่ระหว่างการผ่อนชำระแต่เมื่อได้รับข่าวสารของผู้บริโภครายอื่น จึงหยุดชำระค่างวด ต่อมาถูกฟ้องร้องคดีโดยเห็นว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ทำให้สภาผู้บริโภคได้จัดหาทนายช่วยเหลือผู้บริโภคที่ถูกฟ้องร้องเพื่อดำเนินการต่อสู้คดี