| Getting your Trinity Audio player ready... |

จากความหวังจะได้ดื่มน้ำสะอาด กลายเป็นฝันร้ายของผู้บริโภคในจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อทีมเซลส์ 5 ชีวิตบุกขายเครื่องกรองน้ำถึงหน้าบ้าน จนยอมจ่ายกว่าครึ่งแสน แต่สุดท้ายได้น้ำเป็นคราบเหลืองแทน แก้ไขไม่จบไม่สิ้น ต้องถึงมือหน่วยงานประจำจังหวัดกาญจนบุรี สภาองค์กรของผู้บริโภค มาช่วยเจรจา มหากาพย์ครั้งนี้จึงกลายเป็นบทเรียนเตือนใจคนซื้อของถึงบ้านว่าความไว้ใจอาจมีราคาแพงกว่าที่คิด
“น้ำใส” บนความเคลือบแคลง-กลยุทธ์ที่มาพร้อมข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธ
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 เมื่อผู้ร้องเรียน รายหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีต้องเผชิญหน้ากับทีมขายเครื่องกรองน้ำกลุ่มใหญ่ถึง 5 คน ที่บุกมาเสนอขายถึงหน้าบ้าน ในบรรยากาศที่รีบเร่งและกดดันจากตอนแรกส่งตัวแทนขายมาก่อน 1 คน เมื่อผู้ร้องแสดงความสนใจ ตัวแทนขายอีก 4 คนก็ลงจากรถทันที มาร่วมวงรุมเร้าเสนอขายเครื่องกรองน้ำขนาด 10 นิ้ว ในราคาเครื่องละ 10,500 บาท พร้อมคุณสมบัติที่น่าสนใจว่า “สามารถกรองคราบหินปูนทำให้น้ำใสได้” ยังไม่พอยังบอกสิทธิพิเศษในการทดลองใช้ฟรี 7 วัน และหากยังไม่เห็นผล จะขยายเวลาเป็น 1 เดือน โดยติดตั้งเป็นเครื่องทดลองก่อน และหากพอใจผลที่ได้รับ จะติดตั้งเครื่องใหม่ให้ ซึ่งทำให้ผู้ร้องคล้อยตาม ผู้ร้องถามย้ำเพื่อให้มั่นใจว่า “หากไม่ได้ผล ยินดีคืนสินค้าและคืนเงินใช่หรือไม่” และได้รับคำยืนยันจากตัวแทนขายว่า “ใช่” ทำให้เกิดความมั่นใจในการตกลงซื้อ
แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงง่าย ๆ ทันทีที่ผู้ร้องตกลง ตัวแทนขายกลับแจ้งราคาจริงว่าเครื่องกรองน้ำมีราคาถึง 18,000 บาท ผู้ร้องตกใจและเปลี่ยนใจไม่ซื้อแล้ว แต่ทีมงานไม่ยอมถอย ได้ยื่นข้อเสนอใหม่ทันที “ถ้าซื้อ 2 เครื่อง จะลดให้เหลือเพียง 30,000 บาท” ผู้ร้องจึงทบทวนอีกครั้งด้วยความจำเป็นที่ต้องใช้งานน้ำสะอาด ผู้ร้องจึงตัดสินใจติดตั้ง 2 เครื่องถัง แต่การขายยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น! ตัวแทนขายยังคงเดินหน้าเสนอขายเครื่องที่ 3 และ 4 โดยลดราคาให้เป็นเครื่องละ 13,000 บาท และสามารถผ่อนชำระรายเดือนได้ เดือนละ 4,000 บาท พร้อมลดเพิ่มอีก 500 บาท จนในที่สุด ผู้ร้องจึงตัดสินใจซื้อรวมทั้งหมด 4 เครื่อง รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
- เครื่องที่ 1 และ 2 จำนวน 30,000 บาท (ชำระวันที่ 18 ก.ค. 68)
- เครื่องที่ 3 และ 4 จำนวน 25,500 บาท (ชำระวันที่ 18 ก.ค. 68 จำนวน 20,000 บาท และ 19 ก.ค. 68 อีก 5,500 บาท)
- รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 55,500 บาท ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน และเครื่องกรองน้ำ 4 เครื่อง ก็ถูกติดตั้งในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568
ปัญหาหลังการขายที่ “น้ำไม่ใส” และถูกเรียกเก็บค่าบริการหลังการขาย
หลังจากติดตั้งเครื่องจริง ปรากฏว่าคุณภาพน้ำยังคงไม่เป็นไปตามที่โฆษณา โดยเฉพาะคราบหินปูนที่ยังคงอยู่ ในวันติดตั้ง ช่างไม่ได้สอนวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง โดยให้เหตุผลว่า “หัวกรองเสีย” และจะเข้ามาเปลี่ยนสายน้ำเกลือให้ในวันรุ่งขึ้น (19 ก.ค. 68) แม้จะมีการแก้ไขเรื่องหัวกรองเสียไปแล้ว โดยทราบภายหลังว่าเป็นเจ้าของบริษัทและลูกชายที่เข้ามาทำเอง ไม่ใช่ช่าง และรีบกลับโดยอ้างเหตุว่าฝนตก ไม่ได้สอนการใช้งานเหมือนเดิม แต่ผลลัพธ์ยังคงเดิม น้ำยังคงเป็นคราบหินปูนทั้ง 4 เครื่อง ผ่านไปเพียง 2-3 วัน น้ำกลับกลายเป็น คราบเหลือง เมื่อผู้ร้องติดต่อกลับไป ฝ่ายขายกลับแจ้งว่าเป็นที่ตัวน้ำยาไม่ต้องตกใจ ให้รออีกหน่อย แต่รอยังไงน้ำก็ยังคงเป็นคราบ ผู้ร้องติดต่อกลับไปอีกครั้ง กลับได้รับแจ้งว่าหากจะให้เข้าไปดูแลต้องเสียค่าน้ำเกลือเครื่องละ 700 บาท และด้วยการไม่ได้รับการดูแลหลังการขายที่ดี ประกอบกับปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ผู้ร้องต้องการขอคืนเงิน แต่ได้รับการปฏิเสธจากเซลส์ในวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ว่า “ไม่สามารถคืนเครื่องได้ เนื่องจากไม่มีระบุไว้ในสัญญา” หนักไปกว่านั้นคือ ทุกครั้งที่ผู้ร้องพยายามโทรติดต่อ มักจะถูกตัดสายและไม่มีการติดต่อกลับ ทางผู้ร้องจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และแจ้งร้องเรียนพร้อมเอกสารหลักฐานแจ้งความมาที่หน่วยงานประจำจังหวัดกาญจนบุรี สภาองค์กรของผู้บริโภค ในวันที่ 21 กันยายน 2568


หลังจากนั้นทางบริษัทจึงได้ติดต่อมายังผู้ร้องเพื่อขอเข้าแก้ไขเครื่องกรองน้ำ แต่ผู้ร้องไม่ยินดีให้เข้าแก้ไขแล้ว เนื่องจากหลายครั้งที่เข้ามา มีแต่การเสนอขายสินค้าเพิ่มเติม เช่น ตู้หยอดเหรียญกดน้ำอัตโนมัติ และการล้างแอร์ อีกทั้งยังมีการข่มขู่ว่ามีทนายที่บริษัทเก่งดูแลอยู่ จึงรู้สึกไม่ปลอดภัย ทางด้าน นายสุนทร สุริโย หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดกาญจนบุรี สภาองค์กรของผู้บริโภค นัดเจรจาไกล่เกลี่ย ระหว่างผู้ร้องและตัวแทนบริษัท ในที่สุด ผู้ร้องได้ยื่นข้อเสนอขอคืนเงินรวม 45,000 บาท ซึ่งทางตัวแทนบริษัทขอต่อรองที่ 40,000 บาท ผู้ร้องตกลงรับข้อเสนอ 40,000 บาท และให้บริษัทเข้ามาถอนการติดตั้งเครื่องกรองน้ำทั้งหมดออก หน่วยงานประจำจังหวัดได้จัดทำสัญญาบันทึกข้อตกลงไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานทางกฎหมาย ทำให้เรื่องร้องเรียนนี้ยุติลงด้วยดี โดยผู้บริโภคได้รับการเยียวยาจากความเสียหายที่เกิดขึ้น
ข้อคิดเพื่อปกป้องสิทธิผู้บริโภค
กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่สำคัญยิ่งสำหรับผู้บริโภคทุกคน โดยเฉพาะเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูง หรือมีลักษณะเป็นการเสนอขายที่กดดันถึงที่พักอาศัย สิ่งที่ผู้บริโภคควรดำเนินการเพื่อปกป้องตนเอง คือ เรียกร้องสัญญาหรือเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการตกลงซื้อขายทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การทดลองใช้ หรือเงื่อนไขการรับประกัน โดยระบุรายละเอียดสำคัญให้ครบถ้วน เช่น
- คุณสมบัติของสินค้า ระบุให้ชัดเจนถึงคุณสมบัติของ เช่น “กรองคราบหินปูนได้จริง”
- เงื่อนไขการคืนสินค้า/คืนเงิน กำหนดกรอบเวลาและเหตุผลที่สามารถขอคืนเงินได้ เช่น หากสินค้าไม่ได้มาตรฐานภายใน 7 วัน ยินดีคืนเงิน
- ราคาและช่องทางชำระเงิน และงวดการชำระที่ชัดเจน
- การรับประกันและบริการหลังการขาย กำหนดขอบเขตและระยะเวลาการรับประกัน การซ่อมแซม และค่าใช้จ่ายในการบริการหลังการขายให้ชัดเจน
- หลีกเลี่ยงการตัดสินใจภายใต้แรงกดดัน หากถูกเสนอขายด้วยกลยุทธ์ที่รีบเร่ง หรือมีกลุ่มคนจำนวนมากสร้างกดดัน ควรปฏิเสธและขอเวลาศึกษาข้อมูลสินค้าและเงื่อนไขการขายอย่างละเอียดก่อน ไม่ควรซื้อเพียงเพราะข้อเสนอพิเศษที่จำกัดเวลา
- เก็บหลักฐานการติดต่อ บันทึกการสนทนา ข้อความแชท หรืออีเมล รวมถึงใบเสร็จการชำระเงิน และเก็บข้อมูลติดต่อของบริษัทและฝ่ายขายที่รับผิดชอบไว้เสมอ
การมีเอกสารสัญญาที่เป็นมาตรฐานและชัดเจน จะเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในการยืนยันสิทธิของผู้บริโภคและเป็นเกราะป้องกันการถูกปฏิเสธความรับผิดชอบจากผู้ประกอบการในภายหลัง
หากผู้บริโภคพบปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถติดต่อร้องเรียนได้ที่…สายด่วน สภาองค์กรของผู้บริโภค 1502 หรือ หน่วยงานประจำจังหวัดในพื้นที่ของท่าน




