
สถิติติดตามผลการเยียวยาผู้บริโภคประสบปัญหาซัมซุงจอขึ้นเส้นกว่า 6,000 ราย สะท้อนปัญหาการเยียวยาที่ยังล่าช้า ผู้ร้องยังไม่ได้รับสิทธิกว่า 60% สภาผู้บริโภค เร่งให้บริษัทชี้แจงข้อมูลตามกำหนด เพื่อให้การเยียวยาเกิดขึ้นเร็วที่สุด
สภาผู้บริโภค ได้ติดตามผลการเยียวยาผู้บริโภคที่ใช้โทรศัพท์มือถือซัมซุงและประสบปัญหาจอขึ้นเส้นแนวตั้ง 11 รุ่น ประกอบด้วย Note 20 / Note 20 5G / Note 20 Ultra / Note 20 Ultra 5G / S20 Plus / S20 Ultra / S21 FE / S21 Ultra / S22 / S22 Plus / S22 Ultra จาก บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด โดยสภาผู้บริโภค ได้มีการส่งข้อความสั้น (SMS) เพื่อติดตามสถานะล่าสุดของผู้ร้องรวมทั้งสิ้น 6,078 ราย พบว่ามีผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งบริษัทซัมซุงควรดำเนินการชี้แจงเพื่อให้การเยียวยาเป็นไปอย่างครบถ้วน
โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้ดำเนินการส่งข้อความสั้น (SMS) เพื่อติดตามสถานะของผู้บริโภคที่เข้ามาร้องเรียนปัญหาการใช้โทรศัพท์มือถือซัมซุง 11 รุ่นและจอขึ้นเส้นแนวตั้ง จำนวนกว่า 6,078 ราย โดยสถิติการติดตามผลการเยียวยาผู้บริโภค พบว่า ยังมีผู้บริโภคจำนวนมาก คิดเป็น 60% ของผู้ตอบกลับยังไม่ได้รับการเยียวยา สะท้อนความจำเป็นที่ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ต้องเร่งชี้แจงข้อมูลและทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อเร่งการเยียวยาผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบโดยรวมให้เร็วที่สุด
สำหรับการส่งข้อความเพื่อติดตามผลการเยียวยานั้น ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยแบ่งผู้บริโภคออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ผู้ขอรับเงินค่าซ่อมคืน (TCC1) ซึ่งมีผู้บริโภคตอบกลับว่าได้รับค่าซ่อมคืนแล้วคิดเป็นประมาณ 45% และยังไม่ได้รับค่าซ่อมคืนประมาณ 55% ส่วนกลุ่มที่สอง คือผู้ขอรับการเยียวยา 3 ทางเลือก (TCC2) ซึ่งมีผู้บริโภคตอบกลับว่าได้รับการเยียวยาประมาณ 34% และยังไม่ได้รับการเยียวยาประมาณ 66%
ทั้งนี้เมื่อรวมผลการตอบกลับทั้งสองกลุ่มเฉพาะเฉพาะผู้ที่ตอบกลับ พบว่ามีผู้ได้รับการเยียวยาประมาณ 40% ขณะที่ผู้ยังไม่ได้รับการเยียวยาสูงถึงประมาณ 60%
โสภณ กล่าวต่อว่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงข้อน่ากังวลที่อาจมีผู้บริโภคจำนวนมากยังไม่ได้รับสิทธิการเยียวยาตามที่ควรได้รับจากปัญหาจอขึ้นเส้นแนวตั้ง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทซัมซุงต้องเร่งส่งข้อมูลตามที่สภาผู้บริโภคได้เสนอไป เพื่อให้กระบวนการติดตามผลเป็นไปอย่างถูกต้องและเกิดผลดีต่อผู้บริโภคทุกคน
“ตัวเลขนี้สะท้อนความเสี่ยงว่าผู้บริโภคจำนวนมากอาจยังไม่ได้รับการเยียวยา จึงจำเป็นต้องให้บริษัทซัมซุงเร่งส่งข้อมูลให้อย่างครบถ้วน เพื่อให้สภาผู้บริโภคสามารถร่วมแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ร้องเรียนได้อย่างครบถ้วน รวมถึงเพื่อให้การเยียวยาเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด” นายโสภณกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อให้การเยียวยาผู้บริโภคเป็นไปอย่างรวดเร็ว สภาผู้บริโภคได้หารือร่วมกับบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เพื่อรายงานปัญหาของผู้บริโภคจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา และเร่งรัดให้ซัมซุงดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว พร้อมทั้งร้องขอข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับการเยียวยาภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2568 และนัดประชุมติดตามความคืบหน้าในวันที่ 18 ธันวาคม 2568
ในวันประชุม 24 พฤศจิกายน 2568 สภาผู้บริโภคได้แจ้งให้ผู้แทนบริษัทแสดงหนังสือมอบอำนาจเพื่อยืนยันสิทธิในการเข้าร่วมเจรจาตามขั้นตอน แต่ผู้แทนบริษัทชี้แจงว่าในอดีตเคยเข้าร่วมประชุมหลายครั้งในฐานะทนายความและไม่เคยถูกขอเอกสารดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าบริษัทไม่มีเจตนาปฏิเสธการเยียวยาผู้ร้อง และบางประเด็นจำเป็นต้องตรวจสอบเป็นรายกรณีหรือเสนอฝ่ายบริหารในเชิงนโยบาย
ภายหลังจากนั้น ในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 บริษัทแจ้งว่ายังไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมที่สภาผู้บริโภคกำหนดไว้เดิมในวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ได้ สภาผู้บริโภคจึงย้ำว่าการเลื่อนดังกล่าวส่งผลต่อกรอบเวลาเยียวยาที่ทั้งสองฝ่ายรับทราบร่วมกัน และยังคงขอให้บริษัทส่งข้อมูลที่ร้องขอภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ตามเดิม รวมถึงให้เข้าร่วมประชุมในวันที่ 18 ธันวาคม 2568 พร้อมแจ้งรายชื่อผู้แทนและแนบเอกสารแต่งตั้งหรือมอบอำนาจล่วงหน้าเพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างเป็นทางการและตรวจสอบได้
นายโสภณ กล่าวปิดท้ายว่า สถานการณ์ข้อมูลที่ปรากฏในขณะนี้สะท้อนชัดเจนว่าการเยียวยายังไม่แล้วเสร็จและยังมีผู้บริโภคจำนวนมากที่รอการแก้ไขปัญหาสภาผู้บริโภคจะเดินหน้าเร่งรัดทุกขั้นตอนประสานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การเยียวยาเกิดขึ้นจริงครบถ้วนและไม่ปล่อยให้ผู้บริโภคถูกละเลยจากปัญหาดังกล่าว



