
กสทช.เดินหน้าประมูลคลื่นความถี่ หลังศาลปกครองไม่สั่งคุ้มครองชั่วคราว แม้สภาผู้บริโภคยื่นคัดค้านถึง 3 ครั้ง ตลาดโทรคมนาคมไทยเหลือผู้เล่นแค่สองรายใหญ่ กอดคลื่นยาว 15 ปี ปม NT ไม่เข้าร่วมถูกมองข้าม เสี่ยงผูกขาด กระทบผู้บริโภคในอนาคต
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เดินหน้าจัดประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคม ในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ หลังศาลปกครองกลางยกคำร้องคัดค้านการประมูลฯ ของสภาผู้บริโภค เป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา โดย ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความสภาผู้บริโภค กล่าวว่า หากดำเนินการประมูลในครั้งนี้จะนำไปสู่การถือครองคลื่นนานถึง 15 ปี และอาจสร้างปัญหาในอนาคตทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิทธิผู้บริโภค
ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินมาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าไม่เร่งด่วน กระทั่งในช่วงเย็นของวันที่ 27 มิถุนายน 2568 เวลา 16.30 น. ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอวิธีการชั่วคราวอีกครั้ง โดยที่คำสั่งของศาลในครั้งนี้ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ และสรุปเหตุผล 4 ประการในการยกคำร้องของศาล ได้แก่
1. วิธีการประมูลที่ใช้ “Simultaneous Clock Auction” (SCA) หรือการประมูลแบบหลายย่านพร้อมกันนั้นเป็นแนวทางที่ปรึกษาของ กสทช. ที่เสนอว่าเหมาะสมที่สุด โดยเปิดให้ผู้เข้าร่วมสามารถเลือกสลับย่านความถี่ได้อย่างยืดหยุ่น เป็นการสะท้อนมูลค่าจริงของคลื่น และไม่จำเป็นต้องแบ่งกลุ่มคลื่นแยกกัน
2. ราคาขั้นต่ำในการประมูล สภาผู้บริโภคเห็นว่าเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ขณะที่ศาลพิจารณาว่า กสทช. ใช้วิธีประเมินราคาถึง 4 วิธี และมีการนำข้อมูลเฉพาะจากประเทศไทยประกอบ ทั้งยังได้นำเข้าสู่ที่ประชุมพิจารณาแล้ว
3. ประกาศจัดประมูลคลื่นของ กสทช. มีผลบังคับใช้ทั่วไป ไม่จำกัดสิทธิผู้เข้าประมูล และไม่ได้มีลักษณะผูกขาด อีกทั้งแม้บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที (NT) จะอยู่ระหว่างหมดสัญญา ก็ยังสามารถเข้าร่วมประมูลได้
4. ข้อ 22 ของประกาศ กสทช. มีการกำหนดมาตรการป้องกันการสมยอมกันในการประมูลไว้อย่างชัดเจน ศาลจึงเห็นว่า ยังไม่ปรากฏเหตุเพียงพอที่ทำให้รับฟังได้ว่าประกาศดังกล่าวน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดร.วศิน กล่าวว่า แม้เคารพคำสั่งของศาลปกครองกลางในฐานะองค์กรตุลาการ แต่ในฐานะผู้แทนฝ่ายผู้บริโภค ขอตั้งข้อสังเกตว่า ศาลยังไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะสภาพตลาดโทรคมนาคมในปัจจุบันที่เหลือผู้ประกอบการเพียงสองรายใหญ่ ซึ่งต่างก็มีโครงข่ายและความต้องการคลื่นในมืออยู่แล้ว
“โครงสร้างการแข่งขันเหลือน้อยมาก การที่ศาลมองว่าเปิดกว้างให้ NT เข้าประมูลด้วยนั้น ขัดกับข้อเท็จจริง เพราะรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประกาศแล้วว่า NT จะไม่เข้าร่วม เนื่องจากมีผลขาดทุนสะสมจำนวนมาก และ NT ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้จนถึงปัจจุบัน เพราะได้รับรายได้จากการให้เอกชนเช่าคลื่น 2100 MHz และ 2300 MHz ซึ่งจะหมดสัญญาในเดือนสิงหาคมนี้” ดร.วศิน ระบุ
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตต่อบทลงโทษการสมยอมกันในการประมูล ที่แม้จะระบุในประกาศ กสทช. แต่กลับขาดกลไกตรวจสอบที่ชัดเจน จนอาจเป็นเพียงเสือกระดาษที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง เนื่องจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่ทั้งสองรายใหญ่ต่างก็ทราบดีว่าตนต้องการคลื่นย่านความถี่ใด หากมีการตกลงไม่แย่งกันประมูล จะทำให้ราคาขั้นต่ำที่ตั้งไว้กลายเป็นราคาจริงโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะไม่เป็นธรรมต่อประชาชนในฐานะเจ้าของทรัพยากรคลื่นความถี่ของชาติ
อย่างไรก็ตาม แม้ผลคำสั่งของศาลจะไม่เอื้อต่อข้อเรียกร้องของผู้บริโภค แต่สภาผู้บริโภคจะยังดำเนินการตรวจสอบ การให้บริการด้านโทรคมนาคมต่อไป เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะราคาและคุณภาพการบริการ ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติมาโดยตลอด
“หากในอนาคต คนไทยต้องเผชิญกับระบบบริการโทรคมนาคมที่มีการแข่งขันน้อยลง ถูกผูกขาดโดยผู้ให้บริการรายใหญ่ บริการไม่มีคุณภาพ หรือมีการตั้งราคาที่ไม่เป็นธรรม ย่อมสามารถย้อนกลับมามองได้ว่า จุดเริ่มต้นของปัญหาเหล่านั้นเกิดจากการจัดประมูลคลื่นในครั้งนี้ที่ขาดการกำกับดูแลและการตรวจสอบอย่างรอบด้าน” ดร.วศิน กล่าว
สุดท้ายนี้ ดร.วศิน เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนจับตากระบวนการจัดสรรคลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรของชาติ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และไม่ตกอยู่ในมือของทุนผูกขาดเพียงไม่กี่ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง