ทำไมต้องค้านการควบรวมกิจการ ‘ทรู – ดีแทค’ ?

จากกรณีที่กลุ่มเทเลนอร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคประกาศควบรวมกิจการธุรกิจโทรคมนาคมกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือทรูมูฟ เอช ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าจะอนุญาตให้มีการควบรวมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง True และ Dtac และการค้าปลีก – ค้าส่ง” ชี้ให้เห็็นว่า การควบรวมกิจการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ทั้งเรื่องราคาและบริการที่ได้รับ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) จึงต้องการชวนผู้บริโภคทุกคนมาร่วมลงชื่อเพื่อคัดค้านการควบรวมดังกล่าว ด้วยเหตุผล 5 ข้อ ดังนี้

ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง 

ปัจจุบันในตลาดธุรกิจโทรคมนาคมมีผู้ให้บริการรายใหญ่อยู่เพียง 3 บริษัทที่แข่งขันกันอยู่ ทั้งด้านการพัฒนาบริการใหม่ ๆ การขยายพื้นที่การบริการ รวมไปถึงการแข่งขันด้านราคา ซึ่งถ้าพิจารณาส่วนแบ่งตลาดจากจำนวนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการใช้งาน ทั้ง 3 บริษัทจะครองธุรกิจในตลาดประมาณร้อยละ 97 แต่หากมีการควบรวมกิจการระหว่างทรูมูฟ เอช และดีแทค อาจทำให้สัดส่วนแข่งขันในตลาดเปลี่ยนไป จากที่เคยมี 3 เจ้าเหลือเพียง 2 เจ้าเท่านั้น

เสี่ยงต่อการผูกขาดโครงสร้าง และระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 

เมื่อผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งมีอำนาจเหนือตลาดธุรกิจโทรคมนาคม ก็จะส่งผลให้เกิดการผูกขาดบริการ หรือผูกขาดโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต ทั้งแบบมีสายและแบบไร้สาย ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ยากขึ้น อินเทอร์เน็ตจะช้าลง และผู้ใช้บริการทุกกลุ่มจะมีต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการผูกขาดทางเศรษฐกิจดิจิทัลอีกด้วย เนื่องจากต้นทุนการเข้าถึงข้อมูลที่สูงขึ้น ข้อมูลมีราคาแพง ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยอีกด้วย

ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการแพงขึ้น 

จากงานวิจัยพบว่า หากควบรวมกิจการและเหลือผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่เพียง 2 เจ้า แม้ว่าจะมีการแข่งขันกันตามกลไกตลาด แต่จะส่งผลให้ค่าบริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 7 – 10% แต่หากไม่มีการแข่งขันกัน หรือตกลงแบ่งสัดส่วนผู้ใช้บริการ อาจทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นถึง 66 – 120 % เช่น เฉลี่ยค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตของคนทั่วไปอยู่ที่ 220 บาท/เดือน หากมีการควบรวมกิจการ จะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นเป็น 235 – 480 บาท/เดือน

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการโทรคมนาคม 80 ล้านเลขหมาย นั่นหมายความว่า หากมีการควบรวมกิจการจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภครวมทั้งสิ้น 1,760 – 20,800 ล้านบาท

อาจขัดกฎหมายอย่างน้อย 4 ฉบับ 

การควบรวมกิจการอาจขัดต่อกฎหมายถึง 4 ฉบับ คือ

  1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560
  2. กฎหมายประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544
  3. พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
  4. พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560

ทำให้เกิดอำนาจเหนือตลาด 

หากการควบรวมของทั้ง 2 บริษัทได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล และสามารถตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ได้ กิจการภายใต้บริษัทดังกล่าวจะมีส่วนแบ่งตลาดโทรคมนาคมในประเทศไทยถึงร้อยละ 52 ซึ่งค่าดัชนีวัดระดับความมีประสิทธิภาพของการแข่งในตลาด (Herfindahl-Hirschman Index HHI) ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการแข่งขัน (Failure market) และอาจมีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ชัดเจน และคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก

เสียงของทุกคนมีความหมาย!

มาร่วมส่งเสียงให้หน่วยงานกำกับดูแลรู้ว่าผู้บริโภคอย่างเราไม่เห็นด้วยกับ ‘การควบรวมกิจการธุรกิจโทรคมนาคมระหว่าง ทรูมูฟ เอช กับ ดีแทค’ | ร่วมลงชื่อได้ที่นี่ ร่วมลงชื่อ ‘ค้านการควบรวมกิจการธุรกิจโทรคมนาคม ระหว่าง ดีแทค กับ ทรูมูฟ เอช’