เลือกคาร์ซีทอย่างไร?…ให้ปลอดภัย

หลายคนคงเห็นข่าวที่ภาครัฐเตรียมบังคับใช้ ‘กฎหมายคาร์ซีท’ ซึ่งกำหนดให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปีต้องใช้เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือคาร์ซีทเพื่อป้องกันอันตราย โดยคาดว่ากฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ช่วงเดือนกันยายน 2565 แต่ก็ยังมีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคและความห่วงกังวลในหลายประเด็น ทั้งการตั้งคำถามว่าเป็นการสร้างภาระให้ผู้บริโภคหรือไม่ เรื่องการควบคุมราคา และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรื่องคุณภาพและมาตรฐานของคาร์ซีท

วันนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) เลยนำเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการเลือกคาร์ซีทมาฝากผู้บริโภคทุกคน สำหรับวิธีการเลือกคาร์ซีทนั้น มีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ ดังนี้

1) ซื้อคาร์ซีทที่มีป้ายการรับรองมาตรฐาน

ปัจจุบันมาตรฐานสากลของคาร์ซีทจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ คือ

  • FMVSS 213 มาตรฐานสำหรับคาร์ซีทของประเทศสหรัฐอเมริกา
  • ECE R44/04 มาตรฐานสำหรับคาร์ซีทของสหภาพยุโรป
  • ECE R129 (i-Size) มาตรฐานใหม่ล่าสุดสำหรับคาร์ซีทของสหภาพยุโรป

2) เลือกให้เหมาะกับช่วงอายุและส่วนสูงของเด็กที่ใช้

คาร์ซีทจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่  

ขอบคุณรูปภาพจาก Misconceptions about rear facing car seats and how to reply to them

• แบบนั่งหันหน้าเข้าเบาะ (Rear – Facing Seat)

คาร์ซีทแบบนี้จะติดตั้งแบบหันหลังไปด้านหน้า และหันหน้าเด็กไปหลังรถ เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด – 15 เดือน เพราะว่า เด็กทารกแบบนี้มีกระดูกคอและหลังยังไม่แข็งแรงพอที่รองรับการกระแทก หรือกระชาก การที่หน้าเด็กหันไปทางด้านหลังรถช่วยลดแรงกระแทกจากการชนหรือเบรกกะทันหันได้เป็นอย่างดี

ขอบคุณรูปภาพจาก What are the rules and ages for rear- and forward-facing car seat travel?

• แบบหันไปทางเดียวกับเบาะหน้า (Forward – Facing Seat)

เป็นคาร์ซีทแบบที่เหมาะกับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย คือ ตั้งแต่อายุประมาณ 9 เดือน – 11 ปี ถึงจะดูเหมือนใช้งานได้ยาว แต่ความจริงแล้วก็ต้องเปลี่ยนคาร์ซีทอยู่เป็นระยะตามขนาดตัวของเด็กด้วย ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้คาร์ซีทแบบหันไปทางเดียวกับเบาะ เนื่องจากพอเด็กเริ่มโตขึ้น การหันหน้าเข้ากับเบาะเป็นเวลานาน ๆ เด็กย่อมมีอาการเบื่อ อาจจะทำให้งอแงขึ้นมาได้ ฉะนั้นหันหน้าเขาไปหน้ารถก็ทำให้เขามองสิ่งต่าง ๆ ทำให้นั่งรถได้ง่ายและนานขึ้น

ขอบคุณรูปภาพจาก When should my child’s car seat face forward? Experts concerned too many mistakes are being made

• แบบผสม (Combination Seat)

เป็นคาร์ซีทที่หันได้ทั้งหน้ารถและหลังรถ เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด – 6 ปี เป็นแบบที่ค่อนข้างคุ้ม เพราะนอกจากใช้หันหลังเด็กออกหน้ารถตอนที่กระดูกยังไม่แข็งแรงแล้ว เมื่อเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ยังหันมานั่งแบบหันหน้าออกหน้ารถได้อีกด้วย

ขอบคุณรูปภาพจาก The Best Booster Seats for Kids’ Safer, More Comfortable Rides

• แบบมีพนักพิงหลัง (High backed Booster Seat)

เป็นคาร์ซีทที่เหมาะกับเด็กที่มีอายุ 4 – 12 ปี ซึ่งเป็นเด็กที่ค่อนข้างโต พูดรู้เรื่องแล้ว จะมีเบาะเสริมด้านหลังทำให้รู้สึกว่านั่งสบายมากขึ้น เป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมสำหรับการนั่งเบาะรถปกติ โดยใช้เข็มขัดนิรภัยได้แล้ว

3) เลือกคาร์ซีทที่มีการป้องกันแรงกระแทกด้านข้าง

เนื่องจากในบางกรณีอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นจากการโดนกระแทกจากทางด้านข้างด้วย เพราะในอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น มากกว่าร้อยละ 25 – 30 จะเป็นการชนกระแทกที่เกิดขึ้นจากทางด้านข้าง เพื่อการป้องกันสูงสุดจึงต้องให้ความสำคัญกับการกันกระแทกด้านข้างด้วย

4) เลือกคาร์ซีทที่มีระบบเข็มขัดรัด 5 จุด (5-points harness)

เพราะสามารถป้องกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ดีกว่าสายรัด 3 จุด หรือเข็มขัดนิรภัยธรรมดา ระบบเข็มขัดรัด 5 จุดที่ว่าก็คือจะมีรัดไหล่ 2 เส้นของแต่ละข้าง รัดเอว 2 เส้น และผ่านระหว่างขาอีก 1 เส้น ทั้งหมดจะมาเจอกันที่จัดรัดตรงกลางลำตัวของเด็ก

5) ควรซื้อคาร์ซีทจากศูนย์บริการในไทย

เพื่อให้สามารถเคลมได้และส่งซ่อมได้ และไม่แนะนำให้ซื้อคาร์ซีทมือสอง เพราะไม่รู้ว่าผ่านการใช้งานมานานแค่ไหน อย่างไรหมดอายุการใช้งานแล้วหรือไม่ เพราะคาร์ซีทส่วนใหญ่มักมีวันหมดอายุที่แน่นอนกำหนดไว้

ขอบคุณข้อมูลจาก