ควบรวมมือถือกระทบกลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนรายได้น้อยเดือดร้อนมากสุด

ควบรวมมือถือกระทบกลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนรายได้น้อยเดือดร้อนมากสุด

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ศาลปกครองได้มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่สภาผู้บริโภค ยื่นให้มีการยื่นให้เพิกถอนมติที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้มีมติรับทราบในการควบรวม ระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู (TRUE) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค (DTAC)  ทำให้การรวมธุรกิจนี้ยังคงมีผลตามมติ กสทช. แต่ทั้งนี้ในการพิจารณาคดียังไม่ถึงที่สุด โดยสภาผู้บริโภคเตรียมพิจารณาหารือในการยื่นอุทธรณ์ต่อ ศาลปกครองสูงสุด เพื่อปกป้องคนไทยไม่ให้ต้องใช้มือถือและอินเทอร์เน็ตในราคาแพงต่อไป

ทั้งนี้เมื่อประเมินผลกระทบต่อผู้บริโภค จากมติของ กสทช. ในครั้งนี้ ทำให้เกิดควบรวมกิจการของค่ายโทรศัพท์มือถือใหญ่ในประเทศไทยในปี 2565 ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงธุรกิจ แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย กลุ่มคนที่เปราะบางต้องเผชิญกับค่าบริการที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า จากมติของ กสทช. ที่ทำให้เกิดการควบรวมทรู-ดีแทค โดยในปัจจุบันเกือบเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว แต่จากข้อมูลการติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้น พบว่าภาคประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากแพ็กเกจราคาประหยัดถูกปรับค่าบริการสูงขึ้น

ทั้งนี้จากการติดตามผลกระทบสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าภาคประชาชนได้แบกรับทั้งปัญหาค่าบริการที่สูงขึ้นและคุณภาพบริการที่ต่ำลง โดยภายหลังการควบรวมค่ายมือถือ ยังไม่พบว่ามีผู้บริโภครายใดที่แจ้งว่าตนจ่ายค่าบริการลดลง ทั้งที่ กสทช. กำหนดเงื่อนไขให้ค่าบริการลดลงเฉลี่ย 12% ภายใน 90 วัน ตรงกันข้าม มีข้อมูลว่าผู้ประกอบการเลือกใช้วิธีเพิ่มอินเทอร์เน็ตฟรีให้ชั่วคราว เช่น 5-7 วันแทน ซึ่งสะท้อนชัดว่าไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขเดิมของ กสทช. และหากประชาชนไม่ได้สนใจเลือกกดรับบริการอินเทอร์เน็ตฟรีก็จะไม่ได้รับสิทธินี้ด้วย

ซิมเทพราคาพุ่ง 100%

รวมถึงยังมีกรณี “ซิมเทพ” หรือซิมเน็ตรายปีซึ่งไม่มีวางขายทั่วไปต้องซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ช้อปปี้ หรือลาซาด้า แต่เดิมสามารถหาซื้อได้ที่ราคาประมาณ 1,000 บาทต่อปี เมื่อสำรวจราคาในปัจจุบันกลับมีราคาสูงกว่า 2,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 100% หลังการควบรวม ส่งผลกระทบหนักต่อผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการแพ็กเกจราคาประหยัด          

อีกทั้งกลุ่มลูกค้าเปราะบางที่ กสทช. กำหนดให้ต้องมีแพ็กเกจราคาต่ำเป็นพิเศษ ก็ยังเข้าไม่ถึงแพ็กเกจแบบนี้ เพราะขาดการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง ไปสอบถามที่ศูนย์บริการบางแห่งก็ไม่มีข้อมูล ขณะที่แรงงานต่างด้าวสามารถซื้อแพ็กเกจราคาต่ำกว่าได้ แต่คนไทยรายได้น้อยกลับเข้าถึงได้ลำบาก กลายเป็นภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม

โปรโมชันรายเดือนปรับขึ้นอัตโนมัติ

ขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการแพ็กเกจราคาประหยัดระบบรายเดือนยังเผชิญกับปัญหาเมื่อโปรโมชั่นสิ้นสุดลง ผู้ให้บริการกลับเสนอแพ็กเกจใหม่ที่แพงขึ้นประมาณ 100 บาท/เดือนทันที โดยไม่ต่อแพ็กเกจเดิมให้อัตโนมัติหากไม่แจ้งค่ายมือถือ ทั้งที่เป็นกติกาที่ กสทช. กำหนดให้ต่อแพ็กเกจเดิมที่เคยใช้งานอยู่ก่อน ไม่สามารถเปลี่ยนแพ็กเกจโดยผู้บริโภคไม่ยินยอม ดังนั้นหากมีผู้ใช้บริการต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 2 ล้านคน ผู้ให้บริการจะมีรายรับเพิ่มปีละ 2,400 ล้านบาท ซึ่งประเด็นนี้สะท้อนถึงการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค

การแข่งขันหายไป ผู้บริโภคไร้อำนาจต่อรอง

ผลจากการเหลือผู้ให้บริการรายใหญ่เพียง 2 ราย ทำให้การแข่งขันในตลาดแทบไม่เหลืออีกต่อไป เช่น กรณีการย้ายค่าย ที่จากเดิมผู้ประกอบการจะเสนอโปรโมชันลด 50% นาน 12 เดือนเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคให้ใช้บริการต่อ แต่หลังการควบรวม สิทธิประโยชน์เหล่านี้ก็หายไป สุดท้ายผู้บริโภคจึงไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ เหลืออยู่

สัญญาณอินเทอร์เน็ตคุณภาพลดลง

นอกจากนี้ยังพบปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่แย่ลงอย่าง จากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น และจากความสนใจดูโทรทัศน์หรือวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการไม่มีการลงทุนขยายโครงข่ายให้ทันกับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลจึงควรตรวจสอบอย่างจริงจังว่าผู้ประกอบการได้ลงทุนขยายโครงข่ายตามแผนที่กำหนดหรือไม่

อีกทั้งโปรโมชันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่โฆษณาไว้ แต่เมื่อตรวจสอบการใช้งานจริงกลับไม่เป็นไปตามที่ระบุ สะท้อนถึงการโฆษณาและสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและสร้างภาระให้ผู้บริโภคอีกชั้นหนึ่ง

กลุ่มเปราะบาง-กลุ่มรายได้น้อยรับผลหนักที่สุด

นพ.ประวิทย์ กล่าวต่อว่า เมื่อประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยโดยรวมในปีนี้อยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีวิตปรับเพิ่มสวนทางกับรายรับ ส่งผลให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ต้องเผชิญปัญหาค่าใช้จ่ายซึ่งรวมถึงรายจ่ายด้านมือถือและอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. จำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบและบังคับใช้มาตรการอย่างจริงจัง เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้ปัญหาการผูกขาดในตลาดมือถือร่วมตอกย้ำความเหลื่อมล้ำให้แก่ประชาชนในประเทศไทย ทำให้กลุ่มรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางได้รับความเดือดมากยิ่งขึ้น จนเหมือนถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งจะยิ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมให้เปราะบางมากขึ้น

“ในปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีทำให้กลุ่มรายได้น้อยและกลุ่มรายได้ปานกลางได้รับผลกระทบมากสุด เห็นได้ชัดเจน การปิดร้านอาหารต่าง ๆ สำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยและกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางมีมากสุด เพราะคนที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางต่างประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการทานอาหารนอกบ้าน และเลือกที่จะปรุงอาหารที่บ้านแทน” นพ.ประวิทย์ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง