Ribbon

ชงรื้อทั้งระบบ รถบัสทัศนศึกษา ปกป้องชีวิตนักเรียนทันที

Getting your Trinity Audio player ready...
ชงรื้อทั้งระบบ รถบัสทัศนศึกษา ปกป้องชีวิตนักเรียนทันที

หลายปีที่ผ่านมา อุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับ รถโดยสารสาธารณะ เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหตุการณ์ รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั้งนักเรียนและครู รวม 23 ราย เหตุการณ์นี้สะท้อนชัดว่า ระบบความปลอดภัยในการเดินทางยังมีช่องโหว่ที่ต้องเร่งแก้ไข สภาผู้บริโภค เสนอให้ “ปฏิรูประบบความปลอดภัยรถทัศนศึกษาและรถโดยสารสาธารณะ” แบบยกแผง เพื่อคุ้มครองการเดินทางให้มีความปลอดภัย เพราะถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

สภาผู้บริโภคได้จัดเวทีเสวนารับฟังความเห็น “หนึ่งปีแห่งความสูญเสีย ถึงเวลาสร้างมาตรฐานใหม่เพื่อการเดินทางของเด็กนักเรียนที่ปลอดภัย” ขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และร่วมออกแบบมาตรฐานความปลอดภัยใหม่สำหรับการเดินทางของนักเรียนไทย เพื่อยกระดับความปลอดภัย และสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนให้การเดินทางของเด็กนักเรียนเป็นเรื่องที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนนักเรียนนักศึกษา และผู้แทนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยน

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมเวทีเสวนาเห็นตรงกันว่า โศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษาและอุบัติเหตุรถสาธารณะจำนวนมากเกิดจากปัญหาเชิงระบบ ตั้งแต่รถเก่าไม่ได้มาตรฐาน คนขับทำงานหนัก การกำกับดูแลที่ไม่ทั่วถึง ไปจนถึงคอร์รัปชันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ผู้เชี่ยวชาญเสนอทั้งมาตรการเร่งด่วนและระยะยาว เช่น ยกเลิกวันเดย์ทริป (ทัศนาจรแบบไป – กลับ ใน 1 วัน) ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยรถและคนขับ จัดทำฐานข้อมูลกลาง และเพิ่มการกำกับดูแลสถานศึกษา ขณะที่เสียงเยาวชนสะท้อนว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่าระบบต้องถูกปฏิรูปทั้งห่วงโซ่ เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมแบบเดิมเกิดขึ้นอีก

นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร ประธานคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับ “หลักประกันความปลอดภัยในการเดินทาง” สำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งการเดินทางไปโรงเรียนและการเดินทางทัศนศึกษา หลังพบปัญหาเชิงระบบ ทั้งมาตรฐานรถโดยสารที่ไม่สม่ำเสมอ การคัดกรองคนขับที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลเส้นทาง – ผู้ให้บริการที่ยังไม่ทั่วถึง พร้อมเสนอให้ปรับตั้งแต่กฎหมาย มาตรการกำกับ ไปจนถึงกลไกประสานงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้จริงและเกิดผลเป็นรูปธรรม

“คำที่อยากให้ทุกฝ่ายยึดร่วมกัน คือ ‘ธรรมาภิบาล’ หรือ ‘Good Governance’ ไม่ใช่แค่ตรวจสอบหรือทำตามขั้นตอน แต่ต้อง ‘ทำให้สำเร็จ และทำให้ทันเวลา’ เหมือนกรณีวัคซีนโควิดที่โลกสามารถผลิตได้ภายในไม่ถึงปีเพราะทุกฝ่ายร่วมมือกันเต็มที่ วันนี้เด็กของเรายังไม่มีหลักประกันว่าการเดินทางจะปลอดภัย นี่คือเหตุผลที่เราต้องร่วมแรงกันอย่างจริงจัง เพราะเราไม่รู้เลยว่าเหยื่อครั้งต่อไปอาจเป็นลูกหลานของเราเอง”

คงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค ระบุว่า ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้จัดเวทีติดตามสถานการณ์หลายครั้ง และเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ได้จัดทำรายงานข้อเสนออย่างเป็นทางการส่งต่อนายกรัฐมนตรี ตามอำนาจตามกฎหมายมาตรา 14/1 โดยข้อเสนอได้รับการมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณา แต่มีบางส่วนชะลอไปจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม ปัญหายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น เหตุไฟไหม้ท้ายรถบัส เหตุรถเสียหลักตกเกาะกลางถนน และรถบัสชนท้ายกันหลายคัน ซึ่งตอกย้ำข้อสงสัยของสังคมต่อความปลอดภัยของการทัศนศึกษา

“จากการติดตามตลอดหนึ่งปีหลังเหตุการณ์ สภาผู้บริโภคพบว่า แม้จะมีมาตรการและกฎระเบียบออกมาเพิ่มขึ้น แต่ช่องโหว่เดิมยังคงอยู่ หลายโรงเรียนยังเดินทางผิดช่วงเวลา ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดชัดเจนว่า ‘ห้ามเดินทางกลางคืน’ ซึ่งสะท้อนว่ารากของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ” นายคงศักดิ์ระบุ พร้อมยกตัวอย่างกรณีโรงเรียนในภาคตะวันตกที่พานักเรียนออกเดินทางตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อมาทัศนศึกษาที่กรุงเทพฯ และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้หากเกิดเหตุสุดวิสัย

สภาผู้บริโภคจึงผลักดัน “5 ข้อเสนอยกระดับความปลอดภัย” ประกอบด้วย 1) การปรับปรุงมาตรฐานถังแก๊สและเชื้อเพลิง รวมถึงยกเลิกมาตรฐานเดิมที่ล้าสมัย 2) มาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะและระบบตรวจสภาพที่เข้มงวดขึ้น 3) การกำหนดอายุรถโดยสารให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งานจริง 4) การยกระดับเงื่อนไขความปลอดภัยในใบอนุญาตและปรับมาตรฐานใบขับขี่เฉพาะสำหรับรถโดยสารขนาดใหญ่ และ 5) การกำหนดมาตรฐานทัศนศึกษาที่ปลอดภัยให้โรงเรียนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างระบบคมนาคมและการเรียนรู้ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชนอย่างแท้จริง

ปริญญา วรธำรง ผู้อำนวยการสำนักสวัสดิภาพ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า ขบ.กำลังเดินหน้าปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารทุกประเภทให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ครอบคลุมทั้งรถใหม่และรถเก่าที่ใช้งานหลายสิบปี โดยยอมรับว่ารถโดยสารเก่าบางคันอายุเกิน 30–50 ปี และยังไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านโครงสร้าง ความมั่นคง และจุดยึดเบาะนั่งได้ครบ ส่งผลให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุความเสียหายมักรุนแรงมากยิ่งขึ้น

“มาตรฐานรถโดยสารเก่าหลายคันไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดสากล เนื่องจากจดทะเบียนก่อนที่กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับ ทำให้เวลาเกิดเหตุ ความเสียหายมักรุนแรงกว่า เราจึงต้องเร่งหามาตรการรองรับ ทั้งเรื่องอายุรถ การทดสอบความปลอดภัย และแนวทางดัดแปลงรถที่เหมาะสม” ปริญญา ระบุ

นอกจากนี้ ขบ.ยังเร่งจัดการปัญหาอุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียน โดยประสานกับกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนกว่า 50,000 แห่ง เพื่อจัดเก็บข้อมูลรถทุกคันและวางมาตรการกำกับร่วมกัน ขณะนี้พบว่ามีรถที่ทำถูกต้องตามระเบียบเพียงราว 5,500 คัน จากจำนวนใช้งานจริงที่คาดว่าจะเกิน 50,000 คัน

ปริญญา กล่าวเสริมว่า ขบ.เตรียมเสนอมาตรการเชิงนโยบายเพิ่มเติม เช่น ลดภาษีนำเข้ารถรับส่งนักเรียนใหม่ สนับสนุนงบผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงกำชับโรงเรียนให้ตรวจสภาพรถและอบรมครูผู้ควบคุมรถเรื่องอุปกรณ์ฉุกเฉิน เพื่อยกระดับความปลอดภัยทั้งระบบ ลดความเสี่ยงต่อเหตุรุนแรง และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนทั่วประเทศ

ธัชวุฒิ จาดบันดิสถ์ นักวิชาการศึกษา ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า ความปลอดภัยของรถโดยสารนำเที่ยวและรถทัศนศึกษายังน่าเป็นห่วง แม้มีการผลักดันมาตรการมากว่า 10 ปี โดยเฉพาะรถสองชั้นที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งจากโครงสร้าง คนขับ และเส้นทางที่ไม่เหมาะสม ขณะที่ผู้ใช้บริการกว่า 2 ล้านคนต่อปี แต่มีรถที่ปลอดภัยจริงเพียงราว 7,300 คัน ส่งผลให้หลายพื้นที่ต้องวิ่งคิวต่อเนื่องจนเกิดปัญหา “ควงกะ” (คืออะไรคะ ต้องอธิบายสั้นๆ) ของคนขับ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของอุบัติเหตุ

“ผู้ปกครองบอกผมทุกครั้งว่า ‘ตอนเซ็นใบอนุญาตให้ลูกไปทัศนศึกษา มือสั่นเหมือนส่งลูกไปตาย’ นี่คือความจริงที่สะท้อนว่าพวกเขาไม่เคยมั่นใจในความปลอดภัยของการเดินทางเลยแม้แต่น้อย” ธัชวุฒิกล่าว พร้อมชี้ว่าสถิติ 3 ปีย้อนหลังเกิดอุบัติเหตุรถทัศนศึกษา 11 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน บาดเจ็บรวม 196 คน แม้ไม่สูงเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้บริการ แต่ความสูญเสียกระทบครอบครัวและโรงเรียนอย่างรุนแรง

ธัชวุฒิ ยังระบุถึงปัญหาต้นน้ำ เช่น งบประมาณต่อหัวที่ไม่เหมาะสม ระบบอนุญาตทริปหนึ่งวัน “วันเดย์ทริป” ที่เปิดช่องให้ใช้เส้นทางเสี่ยง และการจ้างรถที่ไม่มีมาตรฐาน พร้อมเสนอให้หน่วยงานด้านการศึกษา “ยกเลิกวันเดย์ทริป” เป็นมาตรการเร่งด่วน และควรนำหลัก “5 Safe” (ความปลอดภัย 5 ประการ) ที่ประเทศพัฒนาแล้วใช้ ได้แก่รถ คนขับ เส้นทาง บริษัท และการกำกับดูแลที่ปลอดภัย มาปรับใช้ เพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้โดยสารกลุ่มเปราะบางที่สุด

ดร.สุริยะ แกล้วทนงค์ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารไทย (สปส.) กล่าวแสดงความเห็นต่างว่ากรณีอุบัติเหตุรถรับส่งนักศึกษาที่มีผู้เสียชีวิตถึง 23 ราย สะท้อนปัญหาโครงสร้างด้านความปลอดภัยของระบบรถโดยสารไทย โดยชี้ว่าประเด็นสำคัญไม่ใช่ “รถสองชั้นหรือรถชั้นเดียว” แต่เป็นปัญหาคอร์รัปชัน การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่โปร่งใส และการตรวจสภาพรถที่ไม่มีมาตรฐานเพียงพอ ซึ่งเป็นสาเหตุแท้จริงของอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้งที่ผ่านมา ข้อมูลจากภาคส่วนต่าง ๆ ยังพบว่าเจ้าของรถ ผู้ประกอบการอู่ และเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพรถบางรายถูกศาลตัดสินจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ สะท้อนความบกพร่องของระบบกำกับดูแลทุกฝ่ายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

“ปัญหาไม่ใช่ประเภทของรถ แต่คือ ‘สภาพรถ – สภาพคนขับ – และคอร์รัปชัน’ ที่ฝังลึกอยู่ในระบบ หากโรงเรียนได้รับงบวันละ 16,000 บาท แต่ถึงมือผู้ประกอบการเพียง 6,000–8,000 บาท ก็ไม่มีทางได้รถที่ปลอดภัย รถคุณภาพดีราคาเป็นล้านจะมาบริการในราคานี้ไม่ได้ เราต้องกล้าพูดถึงต้นเหตุ และปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้างอย่างจริงจัง” ดร.สุริยะกล่าว

ดร.สุริยะ ชี้เพิ่มเติมว่า แนวทางของภาครัฐที่แนะนำให้สถานศึกษา “หลีกเลี่ยงรถสองชั้น” อาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ เนื่องจากในหลายจังหวัด รถสองชั้นมักมีสภาพใหม่กว่ารถชั้นเดียว การกำหนดแบบเหมารวมอาจทำให้สถานศึกษาหันไปใช้รถราคาถูก สภาพเก่า และบางคันดัดแปลงระบบเชื้อเพลิงหรือมีระบบเบรกไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้น เขาเสนอให้กำหนดมาตรฐานตรวจสภาพรถอย่างเข้มงวด ครอบคลุมอายุการใช้งาน ระบบเบรก โครงสร้างตัวถัง และประวัติการซ่อมบำรุง มากกว่าจำกัดด้วย “ประเภทของรถ” ซึ่งไม่ใช่ตัวชี้วัดความปลอดภัยที่แท้จริง

โกวิท คูพะเนียด ผู้อำนวยการสำนักนิติการ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการพานักเรียนไปทัศนศึกษาอย่างยิ่ง โดยมีระเบียบและกฎหมายที่กำกับชัดเจน ตั้งแต่หลักเกณฑ์การอนุญาต การเลือกเส้นทาง และความพร้อมของยานพาหนะ ซึ่งต้องผ่านการตรวจสภาพ มีอุปกรณ์ความปลอดภัยครบ และต้องจัดทำประกันภัยให้ครอบคลุม นอกจากนี้ ศธ. ยังมีแนวปฏิบัติเพิ่มเติม เช่น หลีกเลี่ยงรถบัสสองชั้นในเส้นทางเสี่ยง รวมถึงห้ามใช้รถติดแก๊สเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

มาตรการเสริมจากหน่วยงานต้นสังกัดยังระบุให้การเดินทางต้องสอดคล้องกับช่วงวัยของผู้เรียน โดยเฉพาะเด็กอนุบาลและประถม ที่ควรจำกัดระยะทางให้เหมาะสม และควรมีผู้ปกครองอาสาร่วมเดินทางเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ขณะเดียวกัน การเดินทางทุกครั้งต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองอย่างชัดเจน ถือเป็นหลักสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้

นอกจากนี้ ศธ. ยังได้กำหนดแนวทางกำกับดูแลในทุกช่วง ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางที่ต้องตรวจสภาพรถ เอกสารประกันภัย และเส้นทางอย่างละเอียด รวมถึงซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ขณะเดินทางต้องมีครูควบคุมดูแลใกล้ชิด ห้ามคนขับใช้โทรศัพท์ ไม่ขับประมาท และในกรณีเดินทางไกลต้องจัดคนขับ 2 คน พร้อมจำกัดการเดินทางในเวลากลางคืน หลังเดินทางต้องรายงานผลต่อผู้บังคับบัญชา โดยครูผู้ควบคุมมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจด้านความปลอดภัย เพื่อให้การทัศนศึกษาของนักเรียนเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้

ริฎวาน เจ๊ะหะ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวสะท้อนเสียงของเยาวชนว่า การเดินทางไปทัศนศึกษาหรือกิจกรรมนอกห้องเรียนควรเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ประสบการณ์ใหม่ และการเติบโต ไม่ใช่ความเสี่ยงที่เด็กต้องกังวล เขาเน้นว่าเยาวชนควรรู้วิธีรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่ก็ชี้ให้เห็นความจริงที่น่าเป็นห่วงว่า ทุกวันนี้ยังไม่อาจรู้ได้ว่ามีโรงเรียนจำนวนเท่าใดที่เตรียมความรู้และทักษะเหล่านี้ให้เด็กก่อนเดินทางออกสู่พื้นที่จริง

“ในหนึ่งห้องเรียน เด็ก 40 – 50 คนที่นั่งอยู่ตรงนั้น จะมีอีกกี่ห้องต้องเผชิญการสูญเสียจากอุบัติเหตุที่สามารถป้องกันได้ ความฝันของเด็กทุกคนคือการได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้างอย่างสนุกและปลอดภัย ไม่ใช่ต้องกังวลกับความเสี่ยงบนถนนหรือยานพาหนะที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กแม้แต่คนเดียว” ริฎวานกล่าวย้ำ

สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค  ย้ำว่า “ความปลอดภัยของนักเรียนคือสิทธิขั้นพื้นฐาน” ที่ทุกหน่วยงานต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่ภาระของครูเพียงลำพัง พร้อมระบุว่านโยบายและกฎหมายที่มีอยู่จะเกิดผลได้จริงก็ต่อเมื่อระบบมีธรรมาภิบาล ทำงานทันสถานการณ์และต่อเนื่อง ไม่สะดุดเมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหารหรือเปลี่ยนนโยบาย

ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคทำงานร่วมกับเครือข่ายและโรงเรียนผ่าน “มิติความปลอดภัย” ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทั้งการสร้างมาตรฐานการศึกษาให้เด็กไม่ต้องเดินทางไกลอย่างไม่จำเป็น การพัฒนา “สัญญารถเช่ามาตรฐาน” เพื่อคุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุ และการจัดทำ “เช็กลิสต์ความปลอดภัย” ช่วยโรงเรียนตรวจสอบรถ คนขับ และอุปกรณ์ก่อนออกเดินทางอย่างเป็นระบบ ในระดับนโยบาย สภาผู้บริโภคยังผลักดันฐานข้อมูลกลางเพื่อประเมินผู้ประกอบการร่วมกับผู้ตรวจการแผ่นดินและ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ท้ายที่สุด รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคได้เสนอ 3 ประเด็นเร่งด่วนเพื่อยกระดับความปลอดภัยของรถทัศนศึกษา เริ่มตั้งแต่ตัวรถที่ต้องมีระบบตรวจสอบที่เท่าเทียมกัน พร้อมฐานข้อมูลอายุและโครงสร้างรถที่โปร่งใส ต่อด้วยมาตรการกำกับ “คนขับรถขนาดใหญ่” ให้เข้มงวดกว่าที่เป็นอยู่ และสุดท้ายคือการเพิ่มเงินเยียวยาเมื่อเกิดเหตุให้อยู่ในระดับสูงถึง 30 ล้านบาท พร้อมผลักดันสัญญาเช่าที่เป็นธรรมและการใช้ยานพาหนะที่ปลอดมลพิษมากขึ้น เช่น รถ EV เพื่อยกระดับความปลอดภัยของเด็กนักเรียนในระยะยาว

อรรถพล อนันตวรสกุล ประธานคณะอนุกรรมการด้านการศึกษา ได้สรุปภาพรวมประเด็นสำคัญของการยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน โดยเน้นว่าความปลอดภัยต้องถูกมองเป็น “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ของเด็ก และเป็น “หน้าที่ร่วมกันของผู้ใหญ่ทุกคน” โดยเด็กคือกลุ่มที่เปราะบางที่สุดและควรได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิเด็กทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านความปลอดภัย การพัฒนา การปกป้องคุ้มครอง และการมีส่วนร่วมในการสะท้อนปัญหา

ทั้งนี้ มีความเห็นว่า “ทัศนศึกษา” ยังจำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กในชนบทและพื้นที่ชายแดน ที่อาจไม่มีโอกาสเปิดโลกหากโรงเรียนไม่พาไป แต่โอกาสนี้ไม่ควรมาพร้อมความเสี่ยง โดยความท้าทายสำคัญคือการทำให้กฎหมายและมาตรการที่มีอยู่ทำงานได้จริง ลดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษา และจัดการความเสี่ยงในการเดินทางทุกรูปแบบตั้งแต่รถทัศนศึกษา มอเตอร์ไซค์ รถสองแถว ไปจนถึงการนั่งท้ายกระบะของครู

“การไปโรงเรียนไม่ควรเป็นเรื่องของโชคดีหรือโชคร้าย แต่ควรเป็นระบบที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับทุกคน” อรรถพลระบุ พร้อมชี้ว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากการขาดองค์ความรู้ แต่เกิดจากการขาดความมุ่งมั่นทางการเมือง จึงเรียกร้องให้พรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนวาระความปลอดภัยของเด็กอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในเวทีตัวแทนเด็กและเยาวชนร่วมอ่านแถลงการณ์ “เสียงจากเด็กนักเรียน สู่การเปลี่ยนระบบการเดินทางที่ปลอดภัย” ซึ่งสะท้อนปัญหาและกำหนดทิศทางระบบการเดินทางที่ปลอดภัย ตัวแทนเยาวชนจากหลายพื้นที่ได้ร่วมสะท้อนปัญหาการเดินทางที่ไม่ปลอดภัย พร้อมเรียกร้องให้สังคมและผู้กำหนดนโยบายเร่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับ–ส่งนักเรียนและการเดินทางไปทัศนศึกษา โดยชี้ว่าเหตุอุบัติเหตุที่เกิดซ้ำซากสร้างความสูญเสียไม่ควรถูกมองเป็นเรื่องปกติ เด็กจำนวนมากยังต้องขึ้นรถที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัย รถเก่าไม่ได้ตรวจสอบ หรือคนขับที่ขาดความรับผิดชอบ ทำให้รู้สึกกังวลทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปเรียน

ตัวแทนเยาวชนขอให้หน่วยงานรัฐ โรงเรียน และผู้ประกอบการร่วมกันจัดให้มีมาตรฐานที่ชัดเจน รถที่ปลอดภัย คนขับที่ผ่านการอบรม และระบบกำกับดูแลที่เข้มงวด โดยเน้นว่าความปลอดภัยเป็น “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ที่เด็กทุกคนควรได้รับ เพื่อให้สามารถเรียนรู้อย่างเต็มที่และกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยทุกวัน พร้อมย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องร่วมกันสร้างมาตรฐานใหม่เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของเด็กไทยทุกคน