ค้าน กทม. ขึ้นค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่าผลักภาระให้ประชาชน

Getting your Trinity Audio player ready...
ค้าน กทม. ขึ้นค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่าผลักภาระให้ประชาชน

จากกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เตรียมประกาศปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็น 65 บาทตลอดสาย โดยให้เหตุผลเรื่องภาระหนี้สินกว่า 32,000 ล้านบาท และการแบกรับผลขาดทุนจากการเดินรถส่วนต่อขยายสายสีเขียว สภาผู้บริโภคค้านกทม.ผลักภาระให้ประชาชน

ค้าน กทม. ขึ้นค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่าผลักภาระให้ประชาชน : คงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ

คงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การให้ข้อมูลของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.เป็นการสร้างความสับสนให้กับประชาชน เพราะไม่มีรายละเอียดว่าจะขึ้นเท่าไหร่ โดยเฉพาะส่วนต่อขยาย 1 – 2 ที่ กทม. เป็นผู้บริหารจัดการและมีอำนาจในการปรับขึ้นค่าโดยสาร จะกระทบต่อความเดือดร้อนของประชาชนจำนวนมากที่ต้องเดินทางจากชานเมืองเข้ามาเรียน และทำงานภายในเขตเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ

ขณะที่ “ส่วนไข่แดง” หรือเส้นทางสัมปทานหลัก (หมอชิต – อ่อนนุช)  กทม. ไม่สามารถไปปรับเองได้เนื่องจากอัตราค่าโดยสารยังอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทาน นอกจากนี้การโยนหินถามทางของ กทม. ครั้งนี้ ยังแฝงไปด้วยคำถามมากมาย เช่น ตัวเลขที่มาของ 65 บาท คิดคำนวณจากอะไร ทำไมต้อง 65 บาท ขณะที่อัตราค่าโดยสารสูงสุดของ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ตลอดสายปัจจุบันอยู่ที่ 62 บาท

ที่สำคัญ กทม. ไม่ควรผลักภาระต้นทุนการบริหารจัดการขนส่งสาธารณะไปให้ประชาชนผ่านการปรับขึ้นราคา เพราะระบบขนส่งสาธารณะเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรเข้าถึงได้ในราคาที่เป็นธรรมและเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ พร้อมย้ำหลักการสำคัญว่า “ค่าเดินทางไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ขั้นต่ำ” เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ ไม่ใช่ภาระทางเศรษฐกิจ

“การที่ ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า ปัจจุบันมีหนี้อีกมากกว่า 32,000 ล้านบาท และ กทม. ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท ขณะที่การเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายสามารถเก็บได้เพียงประมาณ 2,000 ล้านบาท เป็นเหตุผลสำคัญในการจะขึ้นค่าโดยสารสายสีเขียวส่วนต่อขยายครั้งนี้  ซึ่งจะทำให้ กทม. มีรายได้เพิ่มขึ้นหลักพันล้านบาทต่อปี แต่อย่าลืมว่ารายได้ที่ กทม. จะจัดเก็บ มาจากเงินรายจ่ายของประชาชน” คงศักดิ์ กล่าว

 ขณะที่ กทม. ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีทางเลือกอื่นในการหางบประมาณมาทดแทน เช่น การของบประมาณสนับสนุนจากรัฐ การเพิ่มภาษีน้ำมันท้องถิ่น 2 บาทต่อลิตรเพื่อนำมาสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะ หรือใช้โอกาสใกล้หมดสัญญาสัมปทานเจรจาต่อรองกับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) เพื่อลดค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งมีผู้โดยสารมากกว่า 800,000 เที่ยว – คนต่อวัน เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและรักษาระดับค่าโดยสารให้อยู่ในระดับที่ประชาชนเข้าถึงได้จริง

นอกจากนี้ ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยังมีมติให้รถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงดำเนินนโยบาย 20 บาทต่อไปอีกสองเดือน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน ดังนั้นการผลักภาระค่าใช้จ่ายส่วนต่างในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประมาณ 3,500 ล้านบาทของกทม. มาเก็บจากประชาชนจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรและซ้ำเติมประชาชน กทม.ควรต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบที่สุด

“กทม.ต้องหาทางออกที่ไม่ใช่การปรับขึ้นค่าโดยสาร เพราะนี่คือการเพิ่มภาระให้ประชาชนในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ค่าเดินทางควรถูกมองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ต้นทุนที่ถูกผลักให้ผู้โดยสารรับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว”คงศักดิ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม หนี้ของสายสีเขียวเป็น “มรดกบาป” จากการตัดสินใจของรัฐบาลในอดีต จึงไม่ควรปล่อยให้ กทม. รับภาระเพียงลำพัง อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหา โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนและการปรับโครงสร้างสัญญาสัมปทานเพื่อแบ่งเบาภาระให้กทม. การแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ควรผลักภาระมาให้ผู้บริโภค เพราะกระทบกับสิทธิการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะและคุณภาพชีวิตของประชาชนจำนวนมาก ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีพื้นที่ให้บริการประชาชนครอบคลุม  3 จังหวัด คือ ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบนี้ร่วมกันอย่างไร

คงศักดิ์ ให้ความเห็นว่า ในระยะสั้น รัฐบาลควรเร่งออกมาตรการลดค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพของประชาชน โดยหนึ่งในทางเลือกสำคัญ คือ การเข้ามาอุดหนุนค่าโดยสารสายสีเขียวให้กับประชาชน เช่นเดียวกับที่ได้ขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของสายสีแดง – ม่วง ส่วนระยะกลางถึงยาว กทม. ควรมีมาตรการรองรับเพื่อการจัดสรรงบประมาณ อาทิ การออก “พันธบัตรเพื่อการขนส่งสาธารณะ” ให้ประชาชนและนักลงทุนซื้อ เพื่อนำเงินไปอุดหนุนค่าโดยสาร หรือการจัดสรรงบประมาณจากภาษีรถยนต์ (รายได้ 16,000 ล้านบาทต่อปี) หรือค่าธรรมเนียมรถติด เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะ พร้อมพัฒนาระบบบัสเลนและโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างจริงจัง


กทม. ชำระหนี้บีทีเอส 3.2 หมื่นล้าน ภายใน 31 ต.ค. เตรียมปรับโครงสร้างค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 65 บาท

เปิดงานวิจัย รถไฟฟ้าสายสีเขียว 20 บาท คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม