Getting your Trinity Audio player ready... |

มิจฉาชีพหลอกโอนเงินมือถือกลับมาระบาดใหม่ ใช้วิธีอ้าง “พบชื่อในแก๊งฟอกเงิน” ทำให้คนรุ่นใหม่หลงเชื่อ ต้องบอกคนใกล้ตัวห้ามโอน ตำรวจจริงไม่ให้โอนเงินเด็ดขาด
จากกรณีมิจฉาชีพหลอกหลวงโอนเงินมือเริ่มมีสัญญาณกลับมาแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น หลังจากแผ่วลงไปในช่วงก่อนหน้านี้เมื่อเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางชายแดน ซึ่งภัยจากออนไลน์ที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ มาจากเรื่องราวของน้องชายของนักแสดง “ริชชี่-อรเณศ ดีคาบาเลส” ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพทางโทรศัพท์และให้ข้อมูลว่ามีความพัวพันในเรื่องการฟอกเงิน อาจต้องถูกดำเนินคดี สุดท้ายถูกหลอกให้โอนเงินไปจนหมดบัญชีรวมวงเงินกว่า 8 แสนบาท ต่อมาครอบครัวทราบเรื่องที่เกิดขึ้นจึงออกมาแจ้งเตือนให้ประชาชนทั่วประเทศรับทราบและเฝ้าระวัง
ทั้งนี้ สถิติคนไทยโดยมิจฉาชีพหลอกหลอกดูดเงิน ข้อมูลจากศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานสถิติตามปีงบประมาณ 2567 มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างกังวล โดยมีการแจ้งความคดีออนไลน์รวม 380,462 เรื่อง สร้างความเสียหายมูลค่าสูงถึง 36,478 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 100 ล้านบาท
รวมถึงสถิติในปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568-10 กันยายน 2568 มีคดีออนไลน์ทั้งหมด 231,481 เรื่อง มูลค่าความเสียหายพุ่งสูงถึง 20,196 ล้านบาท เฉลี่ย 910 เรื่องต่อวัน โดยคดีทั้งหมดเป็นการแจ้งความผ่านทางออนไลน์ 42,234 เรื่อง และแจ้งความที่หน่วยงาน 18,991 เรื่อง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อมาคือ ความสามารถในการอายัดบัญชีได้ทันมีเพียง 1% เท่านั้น หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 295 ล้านบาท แสดงถึงประชาชนทั่วประเทศยังเผชิญภัยออนไลน์จากมิจฉาชีพพุ่งสูงในทุกวัน และโอกาสที่ได้เงินคืนยิ่งน้อย
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ มาจากมิจฉาชีพใช้กลโกงเก่าที่เคยใช้นำมาหลอกลวงอีกครั้งคือ การหลอกลวงว่า พบชื่อในแก๊งฟอกเงิน พร้อมใช้คำพูดแอบอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือในกลโกงอื่นๆ อ้างว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐต่างๆ อาทิ เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร และกรมที่ดิน เป็นต้น ในกรณีกลโกงนี้มีการใช้คำพูดกล่าวอ้างว่าประชาชนกำลังพัวพันกับคดีในเรื่องฟอกเงิน อาจโดนกล่าวหาในเรื่องคดีความตามมา ดังนั้นจึงถูกบังคับให้โอนเงินในบัญชีทั้งหมดเพื่อนำไปตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องฟอกเงิน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อจากการที่มิจฉาชีพมีการอ้างอิงซึ่งบางครั้งเป็นวิดีโอคอลล์ให้เห็นภาพตำรวจในเครื่องแบบที่ดูน่าเชื่อถือ
นอกจากนั้นมิจฉาชีพมี การอ้างข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อที่ลักลอบเอามาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่มีทั้งเลขโฉนดที่ดิน ชื่อและนามสกุล เลขบัตรประชาชน ชื่อบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่ข้อมูลคนใกล้ตัว ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับสายจากมิจฉาชีพถูกหลอกลวงได้ง่ายมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลรอบด้าน
ทั้งนี้ “ตำรวจไซเบอร์” ชี้แจงชัดเจนถึง มิจฉาชีพที่มีพฤติกรรมโทรมาแอบอ้างเป็นตำรวจ ใช้แนวทางทั้งการส่งข้อความส่วนตัว ส่งไลน์ วีดีโอคอล หลอกว่ามีคดี รวมถึงบอกว่าถูกตรวจสอบเพราะเกี่ยวข้องทำผิดกฎหมาย หลังจากนั้น ขอให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสบัญชี ท้ายที่สุด ประชาชนเมื่อถูกหลอกจึงโอนเงินไปทันที และหลังจากนั้นช่องทางการติดต่อก็จะถูกบล็อกทุกช่องทาง
อย่างไรก็ตาม ตำรวจไซเบอร์ย้ำเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ อย่าโอน เพราะในความเป็นจริง “ตำรวจจริง” สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้โดยผู้ต้องสงสัยไม่จำเป็นต้องโอนเงินมาให้ตรวจสอบ รวมถึงเมื่อเกิดคดีความต่างๆ จะมีเอกสารทางการส่งไปถึงผู้ต้องสงสัย ซึ่งจะไม่ใช่การส่งข้อความส่วนตัวหรือโทรมาบังคับโอนเงิน ดังนั้น ประชาชนทั่วไปจึงอย่าหลงเชื่อ อย่าหลงกลคำอ้างว่าตำรวจกล่าวหาว่าเป็นผู้ต้องสงสัย และไม่โอนเงินไปให้ตรวจสอง อีกทั้งตำรวจจริงจะไม่ใช้วิธีโทรหาเบอร์โทรศัพท์หลายเบอร์ติดต่อกัน เช่น มิจฉาชีพหลอกเป็นตำรวจใช้เบอร์ที่แตกต่างกันถึง 5 สายโทรหาประชาชน
ขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ประชาชนสามารถใช้ช่องทางตรวจสอบเบอร์โทรต้องสงสัยได้ผ่านแอปพลิเคชัน Whoscall รวมถึงเข้าไปตรวจสอบได้ผ่าน เว็บไซต์ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ตำรวจไซเบอร์ ได้ผ่าน https://www.thaipoliceonline.com ซึ่งมีช่องทางตรวจสอบเบอร์โทรและบัญชีธนาคารต้องสงสัย
อีกทั้งก่อนที่จะตัดสินใจโอนเงินสามารถตรวจสอบเลขบัญชี โดยนำชื่อและนามสกุลของผู้ที่จะโอนไปให้ หรือเลขบัญชีธนาคาร หรือเบอร์พร้อมเพย์ เข้าไปค้นหาในเว็บไซต์ https://www.blacklistseller.com/ เพื่อตรวจสอบว่ามีรายงานร้องเรียนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากพลาดพลั้งถูกหลอกโอนเงินไปแล้ว สิ่งที่ควรรีบทำสุดคือ รีบแจ้งธนาคารต้นทางที่ทำบัญชีไว้ พร้อมแจ้งกับตำรวจไซเบอร์ ผ่านหมายเลข 1441 เพื่อให้อายัดบัญชีอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีการเก็บหลักฐานต่างๆ เช่น สลิปโอนเงิน บันทึกการสนทนา ไว้ใช้ประกอบการแจ้งความ เป็นต้น
ขณะเดียวกันสมาคมธนาคารไทย แจ้งว่า การมีกฎหมายใหม่เรื่องการปราบบัญชีม้า ได้เปิดให้ประชาชนสามารถแจ้งอายัดบัญชี มิจฉาชีพ หากถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงิน โดยผู้เสียหายสามารถขอให้ธนาคารอายัดบัญชีปลายทางได้ทันทีนาน 72 ชั่วโมง หลังจากธนาคารนั้นจะออกหมายเลขอ้างอิง (Bank Case ID) ให้ผู้เสียหายผ่านทางข้อความ (SMS) เพื่อให้ผู้เสียหายนำไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ให้ดำเนินการตรวจสอบได้ทุกท้องที่ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งความออนไลน์ที่ Thaipoliceonline.com
นอกจากนี้สามารถติดต่อ เบอร์ด่วน เพื่อขออายัดบัญชีธนาคาร ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยช่องทางรวมเบอร์ธนาคาร โทรอายัดบัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้แก่
- ธนาคารกสิกรไทย 0 2888 8888 กด 1
- ธนาคารกรุงไทย 0 2111 1111 กด 108
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1572 กด 5
- ธนาคารกรุงเทพ 1333 หรือ 0 2645 5555 กด *3
- ธนาคารไทยพาณิชย์ 02777 7575
- ธนาคารทหารไทยธนชาต 1428 กด 03
- ธนาคารออมสิน 1115 กด 6
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย 0 2626 7777 กด 00
- ธนาคารไทยเครดิต 0 2697 5454
- ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 0 2459 0000 กด 8
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 0 2645 9000 กด 33
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 0 2555 0555 กด *3
- ธนาคารยูโอบี 0 2344 9555
- ธนาคารซิตี้แบงค์ 0 2344 9555
- ธนาคารเกียรตินาคินภัทร 0 2165 5555 กด 6
- ธนาคารทิสโก้ 0 2633 6000 กด *7
บทสรุป ผลจากเหตุการณ์ของน้องชายริชชี่ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นสัญญาณแจ้งเตือนให้สังคมตระหนักว่า ทุกคนสามารถตกเป็นเหยื่อได้ทั้งหมด โดยการมุ่งให้ความรู้แก่ทุกคนและเฝ้าระวังร่วมกัน จึงเป็นเกราะป้องกันภัยที่สำคัญ สุดท้ายหากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพอย่าลังเลที่จะร้องเรียน แจ้งเหตุ และเรียกร้องสิทธิของตน ทั้งนี้สภาผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่า การปกป้องผู้บริโภค ไม่ควรปล่อยให้ใครต้องสู้เพียงลำพัง ดังนั้นหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ สามารถเข้ามาร้องเรียนได้ผ่าน สภาผู้บริโภค ที่เป็นเพื่อนของผู้บริโภคทุกคน ได้ผ่านหมายเลข 1502