Ribbon

รถขนฝัน ถึงฝันแล้ว…ขนส่งสาธารณะถึงไหน?

“รถขนฝัน” รถบรรทุกเก่าคันหนึ่งจากโรงเรียนหมอนทองวิทยา จังหวัดฉะเชิงเทรา กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ ในฐานะยานพาหนะคู่ใจของทีมฟุตบอลนักเรียน ที่ใช้เดินทางไปแข่งในรายการ “ฟุตบอลแชมป์กีฬา 7HD แชมเปียน คัพ 2025” รถคันนั้นไม่ใช่รถโดยสารหรู ไม่ใช่รถบัสปรับอากาศ มีเพียงความมุ่งมั่น ความฝัน และแรงศรัทธาที่ขับเคลื่อนอยู่ภายใน และสุดท้ายรถขนฝันคันนั้นก็พาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อย่างงดงาม

ภาพของนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่รวมใจกันบนรถสองแถวเก่า ๆ กลายเป็นภาพแทน “ความพยายาม” ที่ไปถึงฝันได้ แม้จะต้องฝ่าฟันข้อจำกัดมากมาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็สะท้อนคำถามสำคัญ ทำไมการเดินทางในชีวิตจริงของคนไทยจำนวนมาก ถึงยังเต็มไปด้วยอุปสรรคแบบนั้นอยู่?

 ขนส่งสาธารณะ…ที่ไม่สาธารณะ

ในเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ การเดินทางอาจสะดวกกว่า แต่ก็แลกมาด้วย “ต้นทุนชีวิต” ที่สูงขึ้น
บางคนต้องจ่ายค่ารถไฟฟ้าที่ราคากว่า 100 บาทต่อวัน กลายเป็นภาระต่อผู้มีรายได้น้อยและคนทำงานที่ต้องเดินทางทุกวัน และในบางเส้นทาง “ค่าเดินทางไป-กลับ” ต่อวัน อาจสูงถึง 20 – 30% ของรายได้ขั้นต่ำ
ทำให้ “การเข้าถึงการเดินทาง” กลายเป็นสิทธิที่ไม่เท่ากัน

ขณะเดียวกัน ในต่างจังหวัด ภาพของการเดินทางก็ไม่ต่างจากรถขนฝันเท่าไรนัก รถน้อย คอยนาน บางพื้นที่แทบไม่มีระบบขนส่งสาธารณะให้เลือกเลย คนจำนวนมากต้องพึ่งพามอเตอร์ไซค์ – รถยนต์ส่วนตัว หรือจ้างรถในราคาสูง เมื่อขาดระบบขนส่งที่ปลอดภัยและเพียงพอ การเดินทางไปเรียน ไปทำงาน หรือแม้แต่ไปโรงพยาบาลกลายเป็นภาระที่เกินจำเป็นสำหรับประชาชนทั่วไป

 สภาผู้บริโภคผลักดัน “ขนส่งเพื่อทุกคน”

แม้ภาพของรถขนฝันจะเป็นแรงบันดาลใจ แต่สิ่งที่สภาผู้บริโภคพยายามทำ คือการผลักดันระบบ “ขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน” โดยไม่ต้องฝัน เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการเดินทางได้อย่างเท่าเทียม

ใน พื้นที่กรุงเทพฯ สภาผู้บริโภคกำลังขับเคลื่อนประเด็น “ราคารถไฟฟ้าที่เป็นธรรม” เพื่อให้คนเมืองเดินทางได้ในราคาที่สอดคล้องกับค่าครองชีพจริง ไม่ใช่ราคาที่ผลักคนรายได้น้อยให้พ้นระบบ

ส่วนในต่างจังหวัด กำลังร่วมมือกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 12 จังหวัด ภายใต้โครงการ“ความร่วมมือสานพลังท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาขนส่งสาธารณะไร้รอยต่อที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกคนขึ้นได้” ระหว่างปี 2568 – 2570 โดยมีพื้นที่นำร่องใน เชียงใหม่ ลำปาง น่าน สงขลา ภูเก็ต ปัตตานี ขอนแก่น สุรินทร์ ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีแนวทางสำรวจ ออกแบบ และพัฒนาระบบขนส่งที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ ตั้งแต่รถโดยสารท้องถิ่น ไปจนถึงระบบเดินทางไร้รอยต่อที่เชื่อมโยงชุมชนเข้าด้วยกัน

โครงการนี้ต่อยอดจากความร่วมมือก่อนหน้า ระหว่าง สภาผู้บริโภค สสส. และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 6 ภูมิภาค ที่ได้เริ่มต้นพัฒนาขนส่งสาธารณะนำร่องใน 7 จังหวัดช่วงปี 2566–2568

จาก “รถขนฝัน” สู่ “เมืองขนส่งแห่งความหวัง”

รถขนฝันของโรงเรียนหมอนทองวิทยา เป็นเครื่องยืนยันว่า ความตั้งใจสามารถพาคนไปถึงฝันได้ แต่ในชีวิตจริงของผู้บริโภคทุกคน การเดินทางไม่ควรเป็นเรื่องของ “โชค” หรือ “ความอดทน” สิทธิในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ คือสิทธิพื้นฐานของประชาชน และนี่คือสิ่งที่สภาองค์กรของผู้บริโภคกำลังผลักดัน เพื่อให้ทุกการเดินทางของคนไทย ไม่ต้อง “ขนฝัน” ไปเองอีกต่อไป


“รถขนฝัน” หรือ “สัญลักษณ์แห่งความล้มเหลว” ตบหน้าความจริงของ Ecosystem ฟุตบอลไทย

เปิด 7 พื้นที่ต้นแบบ “ขนส่งสาธารณะ” ทำได้จริงและยั่งยืน

“ล้อหมุน” มุ่งหน้า ขนส่งสาธารณะ ไร้รอยต่อ 12 จังหวัด