ค้านหลักสูตร เสริมจมูก 3 เดือน ลดมาตรฐานแพทย์ เสี่ยงอันตรายผู้บริโภค

ค้านหลักสูตร เสริมจมูก 3 เดือน ลดมาตรฐานแพทย์ เสี่ยงอันตรายผู้บริโภค

หลักสูตรศัลยกรรมเสริมจมูก “Simple Rhinoplasty” ระยะสั้น 3 เดือน เพียงพอที่จะเปลี่ยนให้แพทย์เป็นแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมเสริมจมูกได้จริงหรือ? คำถามนี้เป็นประเด็นร้อนแรงที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และสภาผู้บริโภค ซึ่งมองว่าหลักสูตรดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและมาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์ของไทย

เมื่อเร็วๆนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และแพทยสภา ได้มีการนำหลักสูตรศัลยกรรมเสริมจมูก “Simple Rhinoplasty” ระยะสั้น 3 เดือน กลับมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่แพทยสภาได้ล้มเลิกการพิจารณาประเด็นการร่างข้อบังคับหลักสูตรดังกล่าวในปี 2565 แต่เรื่องนี้ได้กลับมาถูกผลักดันอีกครั้ง

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุในเวทีแถลงข่าว “ความปลอดภัยของผู้บริโภคต่อศัลยกรรมเสริมความงาม” ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ว่าสภาผู้บริโภคได้ติดตามและคัดค้านร่างข้อบังคับแพทยสภาที่เกี่ยวกับการจัดหลักสูตรเสริมความงามระยะสั้น ตั้งแต่ปี 2565 เนื่องจากกังวลว่าจะทำให้มาตรฐานวิชาชีพลดลงและกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยได้ยื่นหนังสือคัดค้านต่อแพทยสภาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จนแพทยสภามีมติยุติการพิจารณาในเดือนสิงหาคม 2565 อย่างไรก็ตาม ปี 2568 กลับมีความพยายามจัดทำหลักสูตรเสริมความงามจมูกระยะสั้นเข้าสู่การพิจารณาอีกครั้ง แม้แพทยสภาจะออกแถลงข่าวปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม

“สภาผู้บริโภคเราสนับสนุนธุรกิจนี้ให้เติบโต เราไม่ได้มีปัญหา แต่มันก็ควรจะมาพร้อมกับมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค”

นอกจากนี้ สารีได้นำเสนอข้อมูลร้องเรียนที่เกี่ยวกับบริการเสริมความงามที่สภาผู้บริโภคได้รับ พบว่า มีทั้งหมด 1,188 ราย ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโฆษณาที่ทำให้เข้าใจผิด ทั้งการโฆษณาเกินจริง โฆษณาเป็นเท็จ รวมถึงการให้บริการในสถานที่ไม่ได้มาตรฐาน การตั้งราคาสูงเกินจริง การปิดกิจการโดยไม่แจ้งลูกค้า และการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ เช่น คำเตือนหรือราคาที่ชัดเจน สะท้อนว่าประเด็นความงามจำเป็นต้องมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับความปลอดภัยและคุณภาพบริการของผู้บริโภค

“สิทธิของผู้บริโภคที่สำคัญคือสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัย ดังนั้นเมื่อเกิดความไม่ปลอดภัย ผู้บริโภคย่อมมีสิทธิที่จะร้องเรียนและได้รับการเยียวยา ปัจจุบันการฟ้องร้องและดำเนินการตามกฎหมายยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน จึงควรมีการพิจารณาจัดตั้ง กองทุนเยียวยาผู้บริโภค ขึ้นมา เพื่อช่วยลดภาระให้กับประชาชน”

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ด้าน พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ แพทย์ผู้ชำนาญการศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ชี้ให้เห็นถึงอำนาจของแพทยสภาในการสอบสวน ฟ้องร้อง และตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับการร้องเรียนในคณะเดียวกัน โดยเปรียบเทียบว่าแพทยสภาเป็นทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ซึ่งขาดการถ่วงดุลอำนาจ และการรวมอำนาจนี้ทำให้ประชาชนกังวลว่ามติของแพทยสภาอาจไม่ยุติธรรม ซึ่งส่งผลให้หลายคนต้องไปฟ้องศาลปกครองหรือศาลอื่น ๆ ด้วยตนเอง

พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ อธิบายต่อว่า ในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต 6 ปีนั้น ไม่มีการสอนด้านศัลยกรรมเสริมความงาม ทำให้แพทย์จบใหม่ขาดความรู้และทักษะทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติในหัตถการ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การทำตาสองชั้น หรือการเสริมจมูก จึงมองว่าหลักสูตรระยะสั้น 3 เดือนนี้ไม่เพียงพอในการสร้างความรู้เชิงลึกและทักษะที่จำเป็นสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูก ซึ่งมีความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนสูงและแก้ไขได้ยาก

ทั้งนี้ หากอนุมัติหลักสูตรดังกล่าว อาจเป็นแรงจูงใจให้แพทย์จบใหม่จำนวนมากเข้าสู่ธุรกิจความงามเพื่อสร้างรายได้ เร็ว แทนที่จะเรียนต่อเฉพาะทาง 3 – 5 ปีเพื่อรักษาโรค ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในระยะยาว และเพิ่มความเสี่ยงที่ผู้บริโภคจะได้รับบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลของสหพันธ์แพทยศาสตรศึกษาโลกเพื่อการพัฒนาคุณภาพสากล WFME (World Federation Medical Education) อีกด้วย

“การทำศัลยกรรมความงามแตกต่างจากการรักษาโรค ผู้ที่มาทำศัลยกรรมความงามส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี แต่ไม่พอใจรูปร่างหน้าตาของตนเอง การที่พวกเขาต้องเจ็บป่วยกลับไปเพราะภาวะแทรกซ้อนจึงเป็นเรื่องที่สร้างความทุกข์ทรมานอย่างมาก” เขากล่าวเสริม

นพ.ธีระวัฒน์ ศรีนัครินทร์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้าแห่งประเทศไทย ได้กล่าวเสริมในประเด็นความเสี่ยงจากการใช้บริการแพทย์จากหลักสูตรระยะสั้น โดยมีความกังวลว่าการผลิตแพทย์ผ่านหลักสูตรเสริมความงามจมูกเพียง 3 เดือน อาจสร้างความเข้าใจผิดให้แพทย์คิดว่าตัวเองมีความพร้อม ทั้งที่ขาดมาตรฐานเพียงพอ เสี่ยงเกิดอันตรายต่อทั้งตัวแพทย์และผู้ป่วย อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อมาตรฐานทางการแพทย์และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย

นพ.ธีรวัฒน์กล่าวต่อว่า ไม่เคยพบหลักสูตรระยะสั้นที่ปลอดภัยเช่นนี้ในต่างประเทศ และการทำศัลยกรรมจมูกไม่ใช่เรื่องง่าย (Simple Rhinoplasty) อย่างที่หลักสูตรอาจพยายามตีความ เพราะยังมีภาวะแทรกซ้อนและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะยาว

พร้อมย้ำว่า ความสามารถของแพทย์ ต้องประกอบด้วยความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ถูกต้อง ซึ่งหลักสูตร 3 เดือน ไม่อาจสร้างความรู้เชิงลึกหรือทักษะการผ่าตัดที่เพียงพอได้ และเสี่ยงสร้างทัศนคติที่ผิด เช่น ความประมาท พร้อมฝากคำถามถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่า “หากเป็นบุตรหลานหรือคนในครอบครัวของท่าน ท่านมั่นใจจริงหรือไม่ว่าจะให้เข้ารับการผ่าตัดจากแพทย์ที่ผ่านหลักสูตรนี้”

ขณะที่ ผศ.ดร.นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ ตั้งข้อสังเกต 3 ประเด็นต่อหลักสูตรเสริมความงามจมูกระยะสั้น ได้แก่ ผลกระทบเชิงนโยบายที่หลักสูตรดังกล่าวตั้งอยู่บนนโยบาย Medical Wellness Hub ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจให้แพทย์ใช้ทุนลาออกจากระบบสาธารณสุขไปสู่ธุรกิจความงาม แม้จะช่วยให้แพทย์บางส่วนมีรายได้ชดเชย แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบสาธารณสุขกลับไม่ได้รับการแก้ไข และยิ่งซ้ำเติมด้วยการดึงกำลังแพทย์ออกจากภาครัฐ นอกจากนี้ การทำหลักสูตรที่ไม่ได้มาตรฐานจะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของนโยบายนี้ ซึ่งภารกิจของ สบส. ตามกฎหมายไม่ได้ระบุถึงการรับรองหลักสูตรแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งเป็นหน้าที่ของแพทยสภา ส่วน สบส. ไม่ได้มีหน้าที่ในการออกหลักสูตร แต่กลับอาศัยอาศัย พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 11 (7) ในการตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานเพื่อรับรองหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม ที่ระบุว่า “รัฐมนตรีมอบหมาย” อาจเป็นการดำเนินการที่เกินขอบเขตอำนาจ

ขณะเดียวกัน หลักสูตรที่ใช้เวลาฝึกเพียง 3 เดือนยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนกับผู้ป่วย และอาจกระทบความเชื่อมั่นต่อระบบสุขภาพโดยรวม ซึ่งเป็นประเด็นที่กระทรวงสาธารณสุขต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง พร้อมกันนี้มีการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการแต่งตั้งกรรมการ เช่น มีกรรมการบางส่วนประกาศลาออกกลางโซเชียล มีกรรมการที่มาจากมหาวิทยาลัยที่ไม่มีคณะแพทย์ และมีตัวแทนจากแพทยสภาที่เข้าไปร่วมในคณะกรรมการ ซึ่งอาจก่อให้เกิด ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ได้

พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อ สบส. เพื่อป้องกันผลกระทบจากหลักสูตรเสริมความงามระยะสั้น ได้แก่ การสร้างสมดุลระหว่างรายได้กับการรักษามาตรฐานระบบบริการสุขภาพ การทำงานร่วมกับสถาบันรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (สรพ.) เพื่อรับรองคุณภาพคลินิกเสริมความงาม การจัดทำทะเบียนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออนไลน์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการศัลยกรรม และเข้มงวดในการกำกับดูแลการโฆษณา พร้อมส่งเสริมให้มีการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม

นอกจากนี้ อ.ไพศาล ลิ้มสถิต อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาผู้บริโภค ได้นำกรณีศึกษาจากต่างประเทศมาเปรียบเทียบเพื่อชี้แนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็งขึ้น โดยในสหรัฐอเมริกา สถานพยาบาลต้องผ่านการรับรอง (accredited facility) และศัลยแพทย์ต้องมีคุณวุฒิที่ชัดเจน โดยการฝึกอบรมศัลยกรรมตกแต่งใช้เวลาราว 3 ปี ส่วนในเกาหลีใต้ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งมีสมาชิกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และหลักสูตรต้องได้รับการรับรองจากองค์กรด้านการแพทย์และการศึกษา

สำหรับประเทศเกาหลีใต้ยังมีกฎหมายการให้บริการทางการแพทย์หรือ Medical Service Act ที่กำหนดให้ติดตั้งกล้อง CCTV ในห้องผ่าตัด พร้อมข้อบังคับให้แจ้งข้อมูลสำคัญแก่ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด เช่น ชื่อแพทย์ ทีมงาน ผลข้างเคียง ความเสี่ยง และแนวทางเฝ้าระวังอาการหลังผ่าตัด ในขณะที่ในเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกากำหนดให้มีมาตรฐานการฝึกอบรมที่เข้มงวดและมีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทิศทางที่เสนอในประเทศไทย

ทั้งนี้ ในเวทียังมีเสียงสะท้อนจากตัวแทนผู้เสียหาย ที่แสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานของคุณภาพบริการและราคาที่อาจไม่เป็นธรรม รวมถึงความเสี่ยงต่อชีวิตจากผู้ให้บริการที่ไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการเปิดให้มีหลักสูตรระยะสั้น จะทำให้ผู้บริโภคยิ่งมีความเสี่ยงจากการใช้บริการที่ไม่มีมาตรฐานเพียงพอ

“สภาผู้บริโภคหวังว่าแพทยสภาจะทบทวนและ สบส. จะยกเลิกการลดมาตรฐานการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอย่างมาก เราต้องการเห็นการยกระดับมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากเสียงของพวกเราทุกคน ทั้งสมาคมศัลยกรรมตกแต่งฯ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งฯ คณาจารย์จากคณะแพทย์และนิติศาสตร์ และสภาผู้บริโภค” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคกล่าวปิดท้าย ภาพรวมของผู้เสวนาครั้งนี้ เป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อการไม่เห็นด้วยกับการลดมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ เพราะสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือความปลอดภัยและรักษาความเชื่อมั่นในวงการแพทย์ไทยโดยรวม