เวทีสภาผู้บริโภค หนุนค่ารถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย 15 บาท

เวทีเสวนาสภาองค์กรของผู้บริโภค หนุน สูตรราคาส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว 15 บาทตลอดสาย ชง กทม. ยกเลิกคำสั่ง คสช. ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว

สภาองค์กรของผู้บริโภคจัดเวทีเสวนา ‘เคาะสูตรไหน ? ให้ราคารถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์’ โดยมีตัวแทน กทม.  ผู้บริโภค และพรรคการเมืองเข้าร่วมเสนอหาทางออก ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า สูตรราคาที่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ เก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย 15 บาท ตลอดสาย

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า แม้การพิจารณาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะมีความซับซ้อนและเป็นผลจากการตัดสินใจของกรรมการสภากรุงเทพมหานครชุดก่อนหน้า แต่ยังสามารถทำให้ถูกที่ถูกทางได้ ทั้งนี้ หลักการเบื้องต้นอยากให้คิดว่ารถไฟฟ้าเป็นบริการสาธารณะที่การคิดค่าโดยสารต้องไม่คำนึงในเรื่องขาดทุนหรือกำไร แต่ต้องคิดราคาค่าโดยสารตามหลักการบริการสาธารณะ ที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม

โดยข้อเสนอของสภาองค์กรของผู้บริโภค ใน 3 ประเด็น หลักคือ 1) ให้ กทม. ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 และเริ่มดำเนินการตาม พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ พ.ศ. 2562 ในส่วนการต่อสัมปทาน  และเสนอให้มหาดไทยตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวใหม่โดยมีตัวแทนของสภาองค์กรของผู้บริโภค และหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นกรรมการ

2) ประเด็นเรื่องการจัดการหนี้สินของ กทม. สภาองค์กรของผู้บริโภคเห็นว่า หนี้สินในส่วนงานโยธาจำนวน 7 หมื่นล้านบาท และหนี้ค่าจ้างเดินรถอีกประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท นั้น กทม.ควรจะเสนอให้กระทรวงการคลัง บันทึกรายการหนี้ไว้ก่อน โดยไม่ต้องชำระหนี้ในตอนนี้

และ 3) สำหรับการจัดเก็บอัตราค่าโดยสารในส่วนต่อขยาย 1 – 2 ก่อนถึงหมดอายุสัมปทานในปี 2572 ควรเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย และสูงสุดในช่วงไข่แดงที่เป็นสัมปทานเดิมไม่ควรเกิน 44 บาทเพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคใช้บริการระบบรถไฟฟ้าได้มากขึ้น ทั้งนี้ ไม่เห็นด้วยกับ สูตรราคาค่าโดยสาร 14+2x (14 บาทบวกเพิ่มครั้งละ 2 บาทในแต่ละสถานีรถวิ่งผ่าน) เพราะทำให้ผู้บริโภคแบกรับราคาค่าโดยสารมากขึ้น

สารี กล่าวต่ออีกว่า สำหรับส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง – สมุทรปราการ และหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต เห็นว่า กทม.ไม่ควรจะแบกรับทั้งหมดเนื่องจากส่วนขยายเชื่อมต่อไปถึงจังหวัด ปทุมธานี สมุทรปราการ และนนทบุรี แต่ควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่เข้ามารับผิดชอบหนี้สินดังกล่าว

กทม. เสนอ สภา กทม. เคาะราคาค่าโดยสาร

ขณะที่ ตัวแทนจากกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ประธานที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และงบประมาณ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  และประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่งกรุงเทพมหานคร พร้อมรับทุกข้อเสนอจากเวทีสภาองค์กรของผู้บริโภค

โดย ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า กทม. เตรียมเสนอสภากรุงเทพมหานครพิจารณา เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) เรื่องการต่อสัมปทานรถไฟฟาสายสีเขียวส่วนที่เป็นไข่แดง คือ หมอชิต – อ่อนนุช ที่จะหมดสัมปทานในปี 2572 ว่าจะต่อสัมปทานหรือไม่

2) การพิจารณาสัญญาเดินรถในส่วนต่อขยาย ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนต่อขยาย 1 อ่อนนุช – แบริ่ง และ สะพานตากสิน – บางหว้า ซึ่งส่วนนี้มีสัญญาชัดเจนว่า กทม. จ้าง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ได้ว่าจ้าง BTSC ในการเดินรถ ซึ่งเป็นการทำสัญญาที่ผ่าน สภา กทม. แล้ว ขณะที่ส่วนต่อขยาย 2 แบริ่ง – สมุทรปราการ และ หมอชิต – สะพานใหม่ -คูคต ยังไม่อยู่ในรูปแบบสัญญาที่ชัดเจน เป็นเพียงบันทึกข้อความมอบหมายให้ กรุงเทพธนาคม จ้าง BTSC เดินรถ และยังไม่มีการพิจารณาผ่านสภา กทม.

 และ 3) การพิจารณาเก็บค่าโดยสารในส่วนต่อขยายแบ่งออกเป็น 2 สูตรคือ การคำนวณค่าโดยสารแบบ 14+2x หรือเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย 15 บาทตลอดสาย หากรวมกับราคารถไฟฟ้าสายสีเขียวในส่วนไข่แดงต้องไม่เกิน 59 บาท

ด้านประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่งกรุงเทพมหานคร อธิบายว่า เพราะแม้ กทม. จะเก็บค่าโดยสารในราคาใด ก็ยังไม่สามารถสะท้อนต้นทุน เพราะยังต้องเข้าใช้งบประมาณในการอุดหนุน ทั้งนี้ หากเก็บค่าโดยสารในส่วนต่อขยาย 15 บาท กทม. จะมีรายได้ประมาณ 1,899 ล้านบาท ซึ่งส่วนต่างที่ กทม. ต้องชดเชยต่อปีอยู่ที่ 6,324 ล้านบาท

แต่หากใช้สูตร 14+2x ราคาสูงสุดไม่เกิน 59 บาท กทม. จะมีรายได้ประมาณ 1,917 ล้านบาท และต้องตั้งงบประมาณอุดหนุนจำนวน 6,305 ล้านบาท (ผู้บริโภคสามารถรับชมที่มาและวิธีคำนวณค่าโดยสารสายสีเขียวทั้ง 2 สูตร ได้ที่ เวทีเสวนา ‘เคาะสูตรไหน ? ให้ราคารถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์’ นาทีที่ 32.40 – 40.10 )

“การเคาะสูตรราคาค่าโดยสาร เป็นเรื่องที่หนักใจ เพราะ กทม. ไม่ได้คิดราคาค่าโดยสารจากการคิดต้นทุนกำไร แต่ยึดเอาการบริการสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่เพื่อแบ่งเบาภาระงบประมาณที่จะนำไปใช้ในส่วนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าวจะถูกเสนอให้ สภา กทม. ร่วมพิจารณาก่อนต้นเดือนกันยายน” ประพาส กล่าว

เพื่อไทย – ภูมิใจไทย เคาะ 15 บาทผู้บริโภคได้ประโยชน์

ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดศรีสะเกษ เขต 1 พรรคภูมิใจไทย แสดงความเห็นว่า กทม. ควรจะเสนอให้ ครม. ทบทวนมติเรื่องการถ่ายโอนการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการให้ กทม. ไปก่อหนี้กับกระทรวงการคลัง ซึ่งในทางนิตินัยมติดังกล่าวยังไม่ครบถ้วน เนื่องจาก กทม. ยังไม่ก่อหนี้ ดังนั้น จึงอยากให้ สภา กทม.พิจารณาและทบทวน มติดังกล่าว เนื่องจากการให้ กทม. จ่ายหนี้สินในส่วนต่อขยายที่ 2 นั้นไม่เป็นธรรม

ส่วนประเด็นเรื่องการเก็บอัตราค่าโดยส่วนต่อขยาย 2 นั้น ดร.สิริพงศ์ มองว่า ควรจะใช้ราคา 15 บาท ตลอดสายในส่วนต่อขยาย เพราะผู้บริโภคได้ประโยชน์มากกว่าการคำนวณแบบ 14+2x ที่มีราคาสูงกว่า

เช่นเดียวกับ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่มองว่า ในช่วงที่ยังไม่หมดสัญญาสัมปทาน สูตรราคาค่ารถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์ คือ ราคา 15 บาทตลอดสาย ส่วนในระยะยาว ค่าโดยสารรถไฟฟ้าควรจะเป็นราคาเดียวในทุกสาย และรัฐบาล หรือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ควรเป็นหน่วยงานเดียวที่การบริหารจัดการถ เพื่อให้สามารถควบคุมราคาค่าโดยสารได้

ทั้งนี้จุดยืนของพรรคเพื่อไทยที่เสนอมาโดยตลอดคือ ค่าโดยสารรถไฟฟ้า ต้องไม่คิดรวมต้นทุนค่าโครงสร้างพื้นฐาน เพราะถือเป็นบริการสาธารณะที่รัฐต้องบริการประชาชน จึงไม่ควรคิดเรื่องต้นทุน – กำไร ดังนั้น ที่ผ่านมา เพื่อไทยจึงเสนอให้เก็บอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวไม่เกิน 30 บาท

นักวิชาการเสนอ ครม. ยกเลิก คำสั่ง คสช. 3/2562

รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   กล่าวว่า ปัญหาในการบริหารจัดการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มี 3 ประเด็นสำคัญคือ 1) ปัญหาการจัดการจ้างเดินรถในส่วนต่อขยายที่ 1 ที่มีการทำสัญญาจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรถ เกินจากช่วงเวลาสัมปทาน

ซึ่งในเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หากตัดสินไปในทิศทางที่ดีก็จะทำให้ กทม. สามารถบริการจัดการรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น

ประเด็นที่ 2 คือ การจ้างเดินรถในส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติสภา กทม. ทั้งยังไม่ได้รับโอนทรัพย์สินและกรรมสิทธิ์ จาก รฟม. ซึ่งมองว่า กทม. ควรจะยกเลิกการลงนามดังกล่าว รวมถึงไม่ควรเก็บค่าโดยสารในส่วนนี้เพื่อไม่ให้มีส่วนผูกพัน โดยควรจะคืนหนี้และกรรมสิทธิ์ดังกล่าวให้กับ รฟม. เนื่องจากหาก กทม. รับหนี้จะกระทบต่อสัมปทานที่จะจบในปี 2572 ทำให้มีปัญหาได้ในอนาคต

และประเด็น 3 การดำเนินการตามคำสั่งของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2562 ซึ่ง กทม .ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามเจตนารมน์ทั้งในเรื่องของการก่อหนี้และเรื่องของเจตนารมณ์ในการเก็บราคาค่าโดยสารที่เหมาะสมเป็นธรรมดังนั้นกทม.ควร ควรเสนอกลับไป ครม.ทบทวนยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเพราะไม่สามารถดำเนินการตามเจตนารมณ์ได้

ผู้บริโภค เรียกร้องเคาะราคาให้คนจนเข้าถึงได้

ด้าน วิมล ถวิลพงษ์ รองประธานชุมชนใต้สะพาน (ชุมชนพูนทรัพย์) เครือข่ายสลัมสี่ภาค   กล่าวว่า ปัจจุบัน ค่าโดยสารรถไฟฟ้ายังมีราคาสูงทำให้คนจนไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะหากเดินทางจากชุมชน คิดราคาไม่เกิน 59 บาทตลอดสาย เท่ากับว่าเดินทางไป – กลับต้องเสียงเงินถึง 120 บาท ซึ่งคนที่มีรายได้น้อยไม่มีกำลังพอที่จะจ่าย จึงอยากให้รถไฟฟ้ามีราคาที่คนจนเดินทางได้

สอดคล้องกับ จักรกฤษณ์ เต็มเปี่ยม ตัวแทนรุ่นใหม่ ที่ระบุว่า ตัวเองอาศัยในชุมชนคลองเตย แต่มีโอกาสเดินทางด้วยรถไฟฟ้าน้อยครั้งมากเพราะใช้บริการรถเมล์ถูกกว่า แม้ว่าการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจะสะดวกสะบายกว่า แต่ด้วยค่าโดยสารที่สูงแม้จะเป็นบัตรโดยสารนักเรียน ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ เพราะต้องเก็บเงินค่าเดินทางเอาไว้เป็นค่าอาหารหลังเลิกเรียน จึงอยากให้กำหนดราคารถไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเดินทางได้ในราคาที่เหมาะสม

#สภาองค์กรของผู้บริโภค #ผู้บริโภค